นับแต่วันที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 15 ธันวาคม 2551 ผมถือว่าวันนั้น ยุคสมัยของทักษิณได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าในแวดวงการเมืองยังคงเชื่อมั่นว่า ทักษิณจะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง เพราะยังได้รับความรักความศรัทธาจากพี่น้องประชาชน ในภาคเหนือ ภาคอิสาน ทั้งยังมีเครือข่าย ส.ส. เงินทุน และนักการเมืองอีกเกือบสองร้อยคนที่ยังยืนอยู่เคียงข้าง แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพ้นสมัยของทักษิณแล้ว และนับวันจะถอยล้าเลือนหายไปจากสังคมไทย ไทยรักไทย – พลังประชาชน – เพื่อไทย จะไม่ต่างไปจากพรรคที่มีอายุเป็นสิบปีและเลือนหายไปจากสังคมไทย (แม้จะได้รับการจัดตั้งขึ้นใหม่ในภายหลัง) เช่น พรรคกิจสังคม พรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคชาติพัฒนา
ตัวตน ร่องรอยของพรรคที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยคือ อะไร ?
พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2548 มีที่นั่งในสภาฯ 376 ที่นั่ง จากจำนวน 500 ที่นั่ง แต่วันที่โหวตเลือกนายกฯ มีเหลืออยู่เพียง 198 ซึ่งคาดว่าจะลดน้อยถอยลงไปตามลำดับวันเวลาตามธรรมชาติของการเป็นพรรคฝ่ายค้าน (โปรดดูตัวอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน)
ร่องรอยที่เป็นสัญลักษณ์ของระบอบทักษิณ จึงมีเพียงประชาชนที่ยังรักในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีที่เคลื่อนไหวในนาม นปช. หรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” และนโยบายประชานิยมที่เชื่อว่าไม่นานนี้จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นนโยบายประชานิยม แบบพอเพียงในนามพรรคประชาธิปัตย์
สิ่งที่คงหลงเหลืออยู่จึงอาจมีเพียงนามธรรมในรูปความรัก ความศรัทธาต่อคนที่ชื่อทักษิณ เพราะการเคลื่อนไหวชุมนุมต่อไปนี้จะถูกเข้มงวด กวดขัน จับตามองจากสังคม และถูกสกัดกั้นจากฝ่ายความมั่นคงไม่ให้เกิดความไร้ระเบียบเหมือนดังการกระทำของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ได้รับเป็นกรณียกเว้นพิเศษ ความแตกต่างของงบประมาณสนับสนุน การถูกสกัดกั้นจากหน่วยงานราชการ กฎหมายที่บังคับใช้อย่างไม่ผ่อนปรน และแนวร่วมของพันธมิตรที่จะคอยออกมาสกัดปราม เหล่านี้จะทำให้ นปช. หลบเงียบไปเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันเกิดรอยเลื่อนแยกขึ้นอีกครั้ง ที่อาจไม่ใช่ในนามคนรักทักษิณ หรือกลุ่มคนสวมเสื้อแดง แต่เป็นในนามของการล้มล้างเปลี่ยนแปลง “ระบอบ” บางอย่าง
สัญลักษณ์ของ ไทยรักไทย ระบอบทักษิณ ในอนาคตอันใกล้จึงจะเหลือเพียง ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น และยิ่งหากไม่สามารถแสวงหาช่องทางสื่อสารกับ “ประชาชนของเขา” จากนอกประเทศได้แล้ว ก็ยากยิ่งที่จะอาศัยพลังประชาชนเปลี่ยนแปลงการเมืองให้กลับเป็นวันของทักษิณ อีกครั้ง
ผมจึงเชื่อว่าวันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่หลังยุคทักษิณแล้ว แต่สิ่งที่ทักษิณได้สร้างเอาไว้ยังคงอยู่เป็นแบบแผน บรรทัดฐานทางสังคม ไม่ต่างไปจากการทิ้งความเป็นอาณานิคมไว้ภายหลักการปลดปล่อยอาณานิคมของประเทศจักรวรรดิ (postcolonial[i]) สังคมไทยหลังยุคทักษิณได้ก้าวเข้าสู่ลักษณะดังต่อไปนี้
1. สังคมแห่งความแตกแยก
ประชาชนแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่ไร้การศึกษา ขาดความรู้ ยากจน ไม่ฉลาด หน้าตาไม่ดี และเป็นภาระ คนเหล่านี้คือคนที่เลือกทักษิณ และถูกใส่ฉลากให้ว่าเป็น “ลิงบาบูน” กับคนที่มีการศึกษาดี หน้าตาดี มีกำลังซื้อ เป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วม ซึ่งจะเป็นชนชั้นนำการเมืองไทยต่อไปในยุคหลังทักษิณ คนสองกลุ่มนี้จะขัดกันในผลประโยชน์จากนโยบาย ที่ฝ่ายสีเหลืองไม่ต้องการให้เกิดประชานิยมเพราะตนเองรู้สึกว่าเสียภาษีมากแต่เงินถูกนำมาให้กับคนที่เสียภาษีน้อย ขณะที่รัฐบาลยังจำเป็นต้องให้มีนโยบายแบบประชานิยมต่อไป เพื่อหวังดึงฐานคะแนนเสียงจากคนภาคเหนือ ภาคอิสาน คนในชนบท คนรากหญ้า ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างความคิด “อนุรักษ์นิยมใหม่” (neoconservative) [ii] กับ “เสรีนิยมใหม่” (neoliberals)[iii] จะปะทะกันอย่างรุนแรง ต่อไปเราอาจไม่เพียงได้ยินแค่ “เบื่อม็อบพันธมิตร” แต่เราอาจได้ยินว่า “เกลียดม็อบเกษตรกร” และ “พวกเสื้อแดง” แทน
2. ฟื้นฟูประเทศโดยการทำลายระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
ซากเดนของทุกสิ่งที่เป็นระบอบทักษิณ จะถูกเก็บกวาดล้างชำระ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยหากจะยังคงอยู่แต่จะถูกทำให้มี ส.ส. เหลืออยู่ในพรรคน้อยที่สุด ช่องทางการสื่อสารระหว่างทักษิณกับประชาชนของเขาจะถูกตัดขาด คนที่ทำงานให้กับทักษิณจะถูกขุดคุ้ย และค้นหาเรื่องราวมาดำเนินคดี เสื้อสีแดงจะกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม และใครก็ตามที่เข้าไปข้องแวะกับระบอบทักษิณ จะกลายเป็นซาตานผู้ชั่วร้ายทำลายชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องขจัดให้หมดไป การทำลายลงให้สิ้นซากนี้ จะไม่ใช่กระทำในลักษณะประกาศสงคราม แต่จะทำในนามการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในนามการเมืองใหม่ ในนามสันติ สมานฉันท์ ฟื้นฟูเยียวยาประเทศ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ โยกย้ายข้าราชการ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ อันเป็นภารกิจเชี่ยวชาญของพรรคประชาธิปัตย์ที่มักจะเป็นผู้มาฟื้นฟูเยียวยาหลังวิกฤติทุกครั้ง (พฤษภาทมิฬ, วิกฤติเศรษฐกิจปี 40) และก็มักจะใช้เวลาเยียวยาจนเกือบครบเทอมหากไม่มีเรื่องทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้น
3. รูปแบบใหม่ของอำนาจ
ภายใต้สิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ได้ปรากฏให้เห็นอำนาจแบบใหม่ที่ก้าวล้ำกว่าอำนาจแบบเดิม ๆ ที่มีมาในสังคมไทย แม้บุคคลผู้ใช้อำนาจจะเป็นคนเดิม แต่รูปแบบได้เปลี่ยนไปเป็นอำนาจที่มองไม่เห็นซึ่งสังคมไทยเรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” อำนาจใหม่เป็นอำนาจที่แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของคนไทย เป็นชีวอำนาจ (biopower) ที่แฝงฝังในมโนสำนึกซึ่งตอบสนองทางร่างกาย (responses) การกระทำในทันทีที่ได้รับสิ่งเร้า
การใช้อำนาจใหม่ไม่ได้กระทำผ่านตัวแทนดังเช่นในสมัยทักษิณ แต่เป็นการกระทำผ่านการตีความของสังคม (social interpretation) ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด หากแต่เป็นเรื่องควรหรือมิควร การส่งผ่านวาทกรรมของอำนาจรูปแบบใหม่มีลักษณะเป็นวาทกรรมที่คลุมเครือ เป็นอภิปรัชญา เป็นถ้อยความที่ตั้งอยู่ในความดี ความงาม และความจริง ไม่บ่งบอกว่าต้องการอะไร อย่างไร หากแต่แจกแจงหน้าที่ความรับผิดชอบของกลุ่มบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีอำนาจจัดการทางสังคมในภาระหน้าที่ตามตำแหน่งและสถาบันที่สังกัด พร้อมกับการระบุถึงเป้าหมายและสิ่งที่ต้องการให้สังคมไทยพัฒนาไป
อำนาจใหม่นี้เป็นอำนาจผ่านกระบวนการตีความ และตีความซ้ำกระบวนการตีความ (reinterpretation of interpretation process) วาทะแห่งอำนาจจึงเป็นวาทะที่เลื่อนเคลื่อนไปได้อย่างไม่รู้จบเพราะเป็นการละเล่นเชิงอำนาจของการตีความที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดได้ และตราบเท่าที่สังคมไทยยังประสบปัญหาแตกแยกขัดแย้งกระบวนการตีความก็จะดำเนินต่อไป ทำให้องค์อธิปัตย์สถาปนาตัวตนขึ้นเป็นหนึ่งเดียวแห่งอำนาจ อำนาจใหม่เป็นอำนาจที่กระทำโดยไม่กระทำ ดุจสภาวธรรมที่ตั้งอยู่นิ่งใสบริสุทธิ์ท่ามกลางความเคลื่อนไหว อันเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ได้รับมอบอำนาจที่น้อมนำสภาวธรรมนั้นเข้าไว้ในตน ผ่านการตีความที่ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ไม่ว่าจะผิดหรือถูกไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับว่าเหมาะสมและบังควรหรือไม่ ผู้น้อมรับธรรมเหล่านี้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะชนชั้นนำของสังคมไทย แต่เมื่อรับมาแล้วก่อนที่จะส่งผ่านมายังประชาชนนั้นได้ผ่านการตีความ และลดรูปย่อส่วนให้รูปธรรมที่เข้าใจได้โดยใช้คำที่คุ้นเคยสัมผัสได้และระลึกรู้ปฏิบัติตามได้
4. สังคมของผู้เชี่ยวชาญ
การส่งผ่านความหมาย ความต้องการ ทิศทางที่สังคมไทยควรจะ (ต้อง) เป็นไปนั้น ถูกกระทำโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เป็นการกระทำที่ผ่านการตีความสภาวะที่ส่งผ่านมาจากอำนาจใหม่เสมือนการได้รับโองการแห่งสวรรค์ เป็นเสียงกระซิบที่ไม่มีใครได้ยินได้ฟังด้วย (แม้จะได้ยินแต่ก็ไม่อาจตีความได้หากแต่ต้องเป็นหน้าที่หรือคนทรงวิญญาณซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชี้บอก) แต่ปรากฏดำรงอยู่ และนำความสงบสุขมาให้แก่มนุษย์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ยึดครองพื้นที่ของการตีความภายใต้ขอบเขตอำนาจแห่งตน โดยมีนัยว่า เขาเหล่านี้รอบรู้ มีประสบการณ์และมีบทบาทหน้าที่โดยตรงอย่างผู้ชำนาญการมากยิ่งกว่าชนกลุ่มใด ๆ ในสังคม การมอบความเชี่ยวชาญให้นี้ไม่เพียงมอบโดยการยอมรับของสังคม หากแต่เป็นการมอบโดยกฎหมาย ธรรมเนียมปฏิบัติ และความผูกพันใกล้ชิดกับอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป กลุ่มทางสังคมที่จะสถาปนาความเชี่ยวชาญในยุคหลังทักษิณที่สำคัญได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์, ทหาร, ศาล, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วม (ผ่านทางอดีตแกนนำ), สื่อมวลชน และนักวิชาการที่เลือกข้างถูก บรรดากลุ่มคนเหล่านี้จะมีสิทธิ์มีเสียงในสังคม ซึ่งประชาชนผู้ป่วยไข้ ไม่รู้ ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
5.ชนชั้นผู้ป่วยไข้
ชนชั้นผู้ป่วยไข้คือผู้ขาดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ต่อการเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า เป็นผู้ที่เจ็บ จน โง่ สร้างภาระ ดื้อดึง และไม่เชื่อฟังอำนาจ หากยอมรับเชื่อฟังอำนาจก็จะได้รับการดูแล บำบัด เยียวยา ด้วยงบประมาณที่หว่านทุ่มลงไปในรูปเงินช่วยเหลือ กู้ยืม คนเหล่านี้เป็นคนที่เปลี่ยนมาจาก คนรากหญ้า ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นคนส่วนใหญ่ใน 40 ล้านเสียง ที่อดีตนายกรัฐมนตรีอ้างความชอบธรรม และยังคงเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่นโยบายของทุกพรรคการเมืองช่วงการหาเสียงเลือกตั้งล้วนต้องเอาใจ เราปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นผลพวงที่ก่อกำเนิดขึ้นมานับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ภายใต้โครงการชุดเอื้ออาทร และลงทะเบียนคนยากจน ที่มีคนรากหญ้ามาขอลงทะเบียนรับความช่วยเหลือมากกว่าจำนวนคนยากจนที่วัดได้จากเส้นความยากจนทางการ เขาเหล่านี้เป็นคนป่วยไข้ที่ต้องบำบัดรักษาและเชื่อฟังผู้เชี่ยวชาญ 3 สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้ป่วยไข้ถูกบอกให้ปฏิบัติ 1.เศรษฐกิจพอเพียง 2.อยู่ภายใต้ความสมานฉันท์ คือไม่โต้แย้ง ไม่เห็นค้าน (รัฐ) ไม่ออกมาเคลื่อนไหว 3. “รักพ่อ” ทั้งสามสิ่งคือยาขนานวิเศษที่แก้ไขได้ทุกโรค และจะสร้างสังคมที่สันติสุขอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย อันแตกต่างจากยุคทักษิณเพียง 1.เศรษฐกิจรากหญ้า 2. อยู่ภายใต้ความสมานฉันท์ คือไม่โต้แย้ง ไม่เห็นค้าน (รัฐ) ไม่ออกมาเคลื่อนไหว 3. “รักทักษิณ” ซึ่งหากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลยระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เพราะคนเหล่านี้ก็ยังป่วยไข้และอยู่ในภาวะที่ต้องเยียวยารักษาต่อไป
6.อาการเสพติดของการเสพด่วน
คิดใหม่ทำใหม่ คิดเร็วทำเร็ว ทันสมัย ใหม่เสมอคือวัฒนธรรมที่รูปแบบการบริโภคของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และพรรคไทยรักไทยสร้างขึ้น การเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทุก 3 เดือน โดยเปลี่ยนสูตรคำนวณการคิดค่าบริการใหม่ แต่ผลลัพธ์ของค่าบริการก็ไม่ต่างจากเดิม พร้อมไปกับการเพิ่มเติมความสามารถของโทรศัพท์มือถือ ทั้งการโหลดริงโทน โหลดเพลง ส่งภาพถ่าย ส่งข้อมูล ส่งคลิปวีดีโอ ฟังข่าว ดูดวง หาเพื่อน ชำระเงิน ชมรายการโทรทัศน์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การเสพย์การบริการเหล่านี้เกิดควบคู่ไปกับรูปแบบโทรศัพท์มือถือที่ออกรุ่นใหม่ ๆ เข้าสู่ท้องตลาดทุกเดือนกระตุ้นการบริโภคและความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด แน่นอนว่าโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทดแทน กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเสียงแบบพกพา กล้องถ่ายวิดีโอ เครื่องรับโทรทัศน์ ได้สมบูรณ์ มันทำหน้าที่เพียงให้ผู้ครอบครองเสพความบันเทิง รื่นเริง ได้อย่างรวดเร็วทันใจ ในทุกที่ทุกเวลา แบบชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อรอเสพสิ่งใหม่ๆ ที่จะถูกประดิษฐ์ขึ้น
นโยบายเป็นชุดในแบบ โครงการเอื้ออาทรที่มีทั้งบ้าน แท็กซี่ คอมพิวเตอร์ จักรยาน นักบิน แอร์โฮสเตส ชุดนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดที่รวมการเข้าบำบัดรักษา การปราบปรามตัดตอน การปราบผู้มีอิทธิพล หรือชุดขจัดความยากจนที่เพิ่มช่องทางการกู้เงินอีกหลากหลาย ซึ่งแข่งขันกันผลิตเป็นนโยบายย่อยในชุดนโยบายใหญ่ก็ไม่ต่างกับโปรโมชั่นของบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ คือโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบ และเรียกคะแนนกลับคืนมาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเร่งผลิตนโยบายสนองตอบต่อการเสพย์ติดการเมืองของ สังคมที่ป่วยไข้จากอาการเสพติดการเมืองที่ต้องการความเร่งด่วนรวดเร็วและรอไม่ได้
สังคมเสพด่วนจะคอยเรียกร้อง และเคลื่อนไหว เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเร่งสนองตอบต่อการบริโภคที่เคยได้รับแบบทันใจ แนวร่วมพันธมิตรจะเป็นรัฐบาลบนท้องถนนคู่ขนานอยู่ใกล้ ๆ รั้วทำเนียบ ที่มีอำนาจกำกับได้มากกว่าคณะรัฐมนตรีเงาของพรรคประชาธิปัตย์เดิมที่เคยมีมา
สรุป
แม้ว่าอำนาจทักษิณจะค่อย ๆ หมดไป ในยุคหลังทักษิณ แต่ยุคทักษิณได้สร้างระบบการเมือง สังคมขึ้นใหม่ ที่ก้าวกระโดด เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากขุนนาง ศักดินา พ่อขุน ทหาร รัฐข้าราชการ และพรรคแนวอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสื่อมอำนาจลงไป ช่วงเวลา 6 ปี ที่ทักษิณเรืองอำนาจ ได้ส่งผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยอย่างรวดเร็ว และแฝงฝังเป็นชีวอำนาจ ที่แม้ทักษิณ และระบอบทักษิณจะถูกทำลายไป แต่สิ่งที่ทักษิณได้สร้างไว้จะยังคงอยู่เพราะมันได้แฝงฝังเข้าสู่โครงสร้างทางสังคมที่ รอวันเติบโต ปฏิวัติถอนรากถอนโคน ขจัดระบอบการเมืองเดิม (ใหม่) ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำลายระบอบทักษิณรื้อล้าง และรุนแรงเพียงใด ก็ยิ่งจะทำให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ความโกรธแค้นชิงชังระหว่างคนสองกลุ่มมากขึ้นเพียงนั้น ที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์อาจก้าวไปไกลเกินกว่าความขัดแย้งระหว่างคนรักกับคนเกลียดทักษิณ แต่เป็นความขัดแย้งของความเชื่อทางการเมืองและสภาวะธรรมชาติ (natural state)[iv] ของความเป็นมนุษย์แทน
เชิงอรรถ
[i] แนวคิดกลุ่มหลังอาณานิคม (post colonial) มองว่าประเทศอดีตอาณานิคมยังคงต้องพึ่งพา และยอมรับภาษา วัฒนธรรม รูปแบบวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งยังครอบงำสังคมอยู่แม้ว่าจะได้รับการปลดปล่อยจากตะวันตกแล้ว ดังนี้จึงต้องทำลายสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้หมดสิ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการสร้างความเป็นตัวของตัวเอง
[ii] อนุรักษ์นิยมใหม่ เป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับ เสรีนิยมใหม่ ในที่นี้หมายถึงการกลับคืนสู่การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ การปลุกเร้าชาตินิยม และสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันหลักที่เก่าแก่ ความเข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกลับไปสู่สังคมที่มีคุณธรรม จริยธรรม ขจัดความฟุ้มเฟ้อฟุ่มเฟือย เปลี่ยนฉลากเศรษฐกิจทุนนิยม (ทุนสามานย์) มาสู่เศรษฐกิจพอเพียง (ทุนศักดิ์สิทธิ์)
[iii] เสรีนิยมใหม่ ที่ใช้ในสมัยทักษิณ คือการเปิดประเทศต้อนรับการค้าการลงทุน ลดบทบาทของรัฐลง เพิ่มบทบาทของเอกชนมากขึ้น เน้นการแข่งขันเสรี แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี ขณะเดียวกันก็จัดสรรงบประมาณลงไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เรียกว่าคนรากหญ้าโดยตรงโดยลดขั้นตอนที่ต้องผ่านระบบราชการ ฟื้นฟูกระตุ้นให้เกิดการบริโภค เพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
[iv] โปรดดูความแตกต่างในสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ระหว่าง John Locke และ Thomas Hobbes
ที่มา:
ประชาไท 2551, หลังยุคทักษิณ (Post Thaksin), accessed 21/12/2551, from http://www.prachatai.com/05web/th/home/14918
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551
บ้านโฮมฮัก..อบอุ่นด้วยรัก แต่ แร้นแค้น
"บ้าน โฮมฮัก" เป็นบ้านแห่งความรักของเด็ก ๆ นับร้อยชีวิตที่มาอาศัยพักพิงในยามที่ไม่เหลือใคร เด็กๆ ที่นี่มีทั้งเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอดส์จากพ่อแม่ เด็กกำพร้าไม่ติดเชื้อแต่ถูกชุมชนผลักไสด้วยความรังเกียจ เด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เด็กที่มีปัญหายาเสพติด เด็กบางคนมาด้วยหัวใจที่แตกสลายพร้อมกับร่างกายที่บอบช้ำจากการกระทำ ทารุณกรรมของผู้ใหญ่ เรื่องราวของเด็กบางคนดั่งนิยายที่กรีดกระชากใจผู้ที่ได้รับรู้
เด็กที่นี่มีทั้งหมด 104 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 วันไปจนถึง 20 ปี บางรายถูกพ่อแม่เร่ขายให้ไปเป็นขอทาน บางรายกำลังถูกขายไปเป็นหญิง*** และอีกหลายกรณีที่สะเทือนใจ อาทิกรณีของน้องส้ม (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 3 ขวบ แววตาสดใสน่ารัก แต่โดนผู้ใหญ่ใจโหดร้ายป้ายบาดแผลทั้งร่ายกายและจิตใจให้เธอด้วยการข่มขืน เธอมาในสภาพอวัยวะเพศฉีกขาด จิตใจบอบช้ำ ซ้ำร้ายเธอติดเชื้อเอดส์ หรือ กรณีของน้องโฟร์ (นามสมมุติ) พ่อแม่เสียชีวิตเพราะเอดส์ เธอเองก็ได้รับเชื้อเช่นกัน บ้านเธอยากจน ยามหิวโหยก็เคี้ยวข้าวสารประทังชีวิต เพราะไม่มีใครดูแล มีวัดใกล้บ้านเธอจึงไปขอเศษข้าวเศษแกงประทังชีวิต แต่ซ้ำร้ายโดนพระใจโฉดข่มขืน ทุกวันนี้ร่างกายเธอแคระแกรนเพราะขาดสารอาหาร และเอดส์ทำให้เธอมีอาการชักหลายครั้ง จนมีผลทางสมองทำให้เธอพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน"แม่ ต้อย" ของเด็ก ๆ หรือ สุธาสินี น้อยอินทร์ หญิงเหล็กหัวใจแกร่งที่มีความตั้งใจงานเพื่อสังคมมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียน จบ จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็ก โดยไม่รับเงินเดือน จน กระทั่งมาตั้ง "มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน" อยู่ที่เลขที่ 3 หมู่ 12 บ้านประชาสรรค์ ต.ตาดทอง อ.เมือง ยโสธร โทร 045-722-241
แม่ต้อยก่อตั้งบ้านโฮมฮักมา 20 กว่าปีแล้ว แต่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นพินัยกรรมเพื่อความอยู่รอดของเด็กๆเมื่อเธอต้องจากไป ทรัพย์สินทั้งหมด บ้าน รถ ที่ดิน มรดก ของพ่อแม่ก็ขายหมดมาเป็นค่ายา ค่าอาหาร ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเด็ก ๆ ที่สูงถึงเดือนละ 4-5 แสนบาท สุดท้ายแม้กระทั่งสร้อยที่ใส่ติดคอยังต้องขาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ ของเธอก่อนเมื่อเปิดเทอมแม่ต้อย เล่าว่า บ้านโฮมฮักเป็นบ้านหลังที่อบอุ่นเพื่อเด็ก ๆ ที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิง เราอยู่กันด้วยความรัก แต่แร้นแค้น ปัจจุบันขายสมบัติจนหมดเกลี้ยงตัว แม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาแ?่ก็ไม่พอ เด็ก ๆ ที่บ้านโฮมฮักต้องช่วยเหลือกัน แบบพี่ดูแลน้อง ปลูกผัก หาแมลงกินประทังชีวิต แต่ด้วยความแห้งแล้งก็ยากลำบากเหลือเกิน แค่น้ำใช้อาบทั้งบ้านก็ไม่พอ จะเอาน้ำที่ไหนไปรดผัก แมลงที่หาได้ต้องเอาไปคั่วแล้วป่น โรยข้าวเพื่อให้พอกินกันทั้งบ้าน เด็กก็มีแต่ตัวเล็ก ๆ บางส่วนก็ป่วย บางส่วนไปโรงเรียน ที่โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องดูแลน้องตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และบางคนก็ต้องพยาบาลน้องๆ ที่เจ็บป่วย" ที่น่าเศร้าใจคือสังคมยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เมื่อส่งเด็กไปโรงเรียนต้องหาโรงเรียนที่ไกลออกไป บางครั้งเมื่อรู้ว่าเด็กมาจากที่นี่ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ประท้วงให้ไล่เด็กออก เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจว่าไม่สามารถติดเชื้อจากการอยู่ร่วมกัน แต่ติดทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ทำให้ไม่เข้าใจเด็กเหล่านี้ว่าป่วยแค่ร่างกายแต่ยังมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ร้องไห้ได้เหมือนกับเรา เด็กเหล่านี้โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้ ขนาดเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจจะเผาในวัดยังไม่ได้ ชาวบ้านกลัวขี้เถ้าฟุ้งไปในอากาศตกหลังคาบ้านแล้วจะติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน " แม่ต้อย เล่าทั้งน้ำตา
มี เด็กระยะสุดท้ายที่แพทย์พิพากษาว่า อยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน หรือ 2 เดือน กับเด็กที่แพทย์หยุดยา เพราะดื้อยาแล้ว ส่งมาอยู่รอความตายที่นี่ แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศที่ดูแลกันเหมือนพี่น้อง เด็ก ๆ หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดที่แพทย์บอก เช่น น้องก้อง (นามสมมุติ) มาตอนอายุ 8 เดือน ซึ่งหมอไม่รักษาแล้ว เพราะเชื่อว่าอยู่ได้อีก 2 เดือน แต่ตอนนี้น้องก้องสุขภาพแข็งแรงดี อายุ 12 ขวบแล้ว ช่วยพี่ๆ รดน้ำผักทุกวันแต่ตอนนี้ผักปลูกได้น้อย แมลงหาจนไม่มีให้หาแล้ว ข้าวกินได้ครึ่งท้องเพื่อแบ่งอีกครึ่งให้น้อง ๆ ซ้ำร้ายแม่ต้อยของเด็กกำลังป่วยด้วย "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" ซึ่ง หมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน แต่หัวใจแม่เกินร้อยที่เธอมอบให้เด็กๆ ทำให้เธอสู้ บางคืนเธอถูกรุมเร้าด้วยอาการปวดที่ไม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก พอ ช่วงกลางคืนถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกออกมาเดิน หาก ใครไปบ้านโฮมฮักไม่รู้คนไหนแม่ต้อยละก็ ให้สังเกตที่ข้อเท้าจะมีกระดิ่งเป็นลูกกระพรวนห้อยไว้ เพราะยามเธอออกมาเดิน เด็ก ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ไม่กลัวคิดว่าเป็นผี ...แต่ จะมีวันไหนที่แม่ต้อยไม่ลุกออกมาเดินอีกแล้วก็ไม่รู้ !?! แล้วเด็ก ๆ จะอยู่กันได้อย่างไร ต้องกำพร้าครั้งที่สองในชีวิตกันอีกแล้วหรือ ?ปัจจุบันบ้านโฮมฮักกำลังประสบภาวะขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างหนัก และยังขาดครูพี่เลี้ยง ขาดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ทยอยถอนตัวออกไป เราลองมาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ให้บ้านโฮมฮักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนเกิน เป็นส่วนที่ต้องกันไว้ให้อยู่อีกโลก เป็นอีกชนชั้นของสังคม ก็น่าจะมองกันใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็ก เป็นชีวิตที่ไร้เดียงสา แววตาบริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ เด็กน้อยเหล่านี้เกิดมาจากปัญหาที่พวกผู้ใหญ่สร้างขึ้นทั้งนั้นถ้า หากใครได้ไปสัมผัสเยี่ยมเยือน เด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก จะเห็นแววตาที่สดใส ร่าเริง ทุกคนจะดีใจที่มีพี่ๆ ไปเยี่ยม ยิ่งถ้าไปเล่นไปสัมผัสเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจิตกุศล ด้วยความรักก็เหมือนได้ต่อเติมชีวิตอันสดใส จากเด็กที่ไม่ลุกเดิน ซึมเศร้าเหม่อลอย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนจะดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ มีรอยยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีใครไปเยี่ยมเยือน"พี่ ๆ จะกลับมาหาพวกหนูกันอีกมั๊ยคะ""พี่หนูอยากได้เสื้อสีแดงไว้ใส่ หนูจะได้ใส่ก่อนตายมั๊ยคะ" และ อีกมากมายคำพูดอันเสียดแทงหัวใจพี่ๆ ทุกคน อยากให้สังคมได้รับรู้ ก่อนจากกันโบกมือลาด้วยน้ำตา และแววตาของเด็ก ๆ ที่มองรถจนลับตาพร้อมกับความหวังว่า จะมีใครมาเยี่ยมเยือนและนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นกันอีกบ้าง…
สำหรับผู้ มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยเหลือเด็ก ๆ โอนเงินไปได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขายโสธร
ชื่อบัญชี มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน เลขที่ 561-2-21187-7
หรือจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน ของเล่น และสิ่งจำเป็นได้ตามจิตศรัทธาเป็นของใหม่หรือของใช้แล้วก็ได้ เพราะของที่ท่านไม่ใช้แล้วยังมีค่ากับเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างมาก
ที่มา:
เป็น forward email มาจากผู้หวังดี .. ผมเชื่อในเจตนาดีของเขา
ผมจึงนำมาpostให้อ่านกัน..ใครนึกถึง "บ้านโฮมฮัก" และ "แม่ต้อย" ไม่ออก .. จำโฆษณาที่คุณเคยซึ้งได้มั้ย ? .. กับโฆษณาไทยประกันชีวิต
.. นั่นแหละ ..แม่ต้อย (ตัวจริง) กำลังจะจากไปในเร็วๆนี้แล้ว และ บ้านโฮมฮักก็อาจจะถึงคราวอวสานเช่นกัน .. พวกเราอาจจะพอช่วยได้ ถ้าช่วยได้ก็รีบให้ความช่วยเหลือพวกเขาด่วนเลยนะครับ .. อย่ารอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เด็กที่นี่มีทั้งหมด 104 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 วันไปจนถึง 20 ปี บางรายถูกพ่อแม่เร่ขายให้ไปเป็นขอทาน บางรายกำลังถูกขายไปเป็นหญิง*** และอีกหลายกรณีที่สะเทือนใจ อาทิกรณีของน้องส้ม (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 3 ขวบ แววตาสดใสน่ารัก แต่โดนผู้ใหญ่ใจโหดร้ายป้ายบาดแผลทั้งร่ายกายและจิตใจให้เธอด้วยการข่มขืน เธอมาในสภาพอวัยวะเพศฉีกขาด จิตใจบอบช้ำ ซ้ำร้ายเธอติดเชื้อเอดส์ หรือ กรณีของน้องโฟร์ (นามสมมุติ) พ่อแม่เสียชีวิตเพราะเอดส์ เธอเองก็ได้รับเชื้อเช่นกัน บ้านเธอยากจน ยามหิวโหยก็เคี้ยวข้าวสารประทังชีวิต เพราะไม่มีใครดูแล มีวัดใกล้บ้านเธอจึงไปขอเศษข้าวเศษแกงประทังชีวิต แต่ซ้ำร้ายโดนพระใจโฉดข่มขืน ทุกวันนี้ร่างกายเธอแคระแกรนเพราะขาดสารอาหาร และเอดส์ทำให้เธอมีอาการชักหลายครั้ง จนมีผลทางสมองทำให้เธอพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน"แม่ ต้อย" ของเด็ก ๆ หรือ สุธาสินี น้อยอินทร์ หญิงเหล็กหัวใจแกร่งที่มีความตั้งใจงานเพื่อสังคมมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียน จบ จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็ก โดยไม่รับเงินเดือน จน กระทั่งมาตั้ง "มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน" อยู่ที่เลขที่ 3 หมู่ 12 บ้านประชาสรรค์ ต.ตาดทอง อ.เมือง ยโสธร โทร 045-722-241
แม่ต้อยก่อตั้งบ้านโฮมฮักมา 20 กว่าปีแล้ว แต่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นพินัยกรรมเพื่อความอยู่รอดของเด็กๆเมื่อเธอต้องจากไป ทรัพย์สินทั้งหมด บ้าน รถ ที่ดิน มรดก ของพ่อแม่ก็ขายหมดมาเป็นค่ายา ค่าอาหาร ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเด็ก ๆ ที่สูงถึงเดือนละ 4-5 แสนบาท สุดท้ายแม้กระทั่งสร้อยที่ใส่ติดคอยังต้องขาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ ของเธอก่อนเมื่อเปิดเทอมแม่ต้อย เล่าว่า บ้านโฮมฮักเป็นบ้านหลังที่อบอุ่นเพื่อเด็ก ๆ ที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิง เราอยู่กันด้วยความรัก แต่แร้นแค้น ปัจจุบันขายสมบัติจนหมดเกลี้ยงตัว แม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาแ?่ก็ไม่พอ เด็ก ๆ ที่บ้านโฮมฮักต้องช่วยเหลือกัน แบบพี่ดูแลน้อง ปลูกผัก หาแมลงกินประทังชีวิต แต่ด้วยความแห้งแล้งก็ยากลำบากเหลือเกิน แค่น้ำใช้อาบทั้งบ้านก็ไม่พอ จะเอาน้ำที่ไหนไปรดผัก แมลงที่หาได้ต้องเอาไปคั่วแล้วป่น โรยข้าวเพื่อให้พอกินกันทั้งบ้าน เด็กก็มีแต่ตัวเล็ก ๆ บางส่วนก็ป่วย บางส่วนไปโรงเรียน ที่โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องดูแลน้องตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และบางคนก็ต้องพยาบาลน้องๆ ที่เจ็บป่วย" ที่น่าเศร้าใจคือสังคมยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เมื่อส่งเด็กไปโรงเรียนต้องหาโรงเรียนที่ไกลออกไป บางครั้งเมื่อรู้ว่าเด็กมาจากที่นี่ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ประท้วงให้ไล่เด็กออก เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจว่าไม่สามารถติดเชื้อจากการอยู่ร่วมกัน แต่ติดทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ทำให้ไม่เข้าใจเด็กเหล่านี้ว่าป่วยแค่ร่างกายแต่ยังมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ร้องไห้ได้เหมือนกับเรา เด็กเหล่านี้โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้ ขนาดเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจจะเผาในวัดยังไม่ได้ ชาวบ้านกลัวขี้เถ้าฟุ้งไปในอากาศตกหลังคาบ้านแล้วจะติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน " แม่ต้อย เล่าทั้งน้ำตา
มี เด็กระยะสุดท้ายที่แพทย์พิพากษาว่า อยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน หรือ 2 เดือน กับเด็กที่แพทย์หยุดยา เพราะดื้อยาแล้ว ส่งมาอยู่รอความตายที่นี่ แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศที่ดูแลกันเหมือนพี่น้อง เด็ก ๆ หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดที่แพทย์บอก เช่น น้องก้อง (นามสมมุติ) มาตอนอายุ 8 เดือน ซึ่งหมอไม่รักษาแล้ว เพราะเชื่อว่าอยู่ได้อีก 2 เดือน แต่ตอนนี้น้องก้องสุขภาพแข็งแรงดี อายุ 12 ขวบแล้ว ช่วยพี่ๆ รดน้ำผักทุกวันแต่ตอนนี้ผักปลูกได้น้อย แมลงหาจนไม่มีให้หาแล้ว ข้าวกินได้ครึ่งท้องเพื่อแบ่งอีกครึ่งให้น้อง ๆ ซ้ำร้ายแม่ต้อยของเด็กกำลังป่วยด้วย "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" ซึ่ง หมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน แต่หัวใจแม่เกินร้อยที่เธอมอบให้เด็กๆ ทำให้เธอสู้ บางคืนเธอถูกรุมเร้าด้วยอาการปวดที่ไม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก พอ ช่วงกลางคืนถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกออกมาเดิน หาก ใครไปบ้านโฮมฮักไม่รู้คนไหนแม่ต้อยละก็ ให้สังเกตที่ข้อเท้าจะมีกระดิ่งเป็นลูกกระพรวนห้อยไว้ เพราะยามเธอออกมาเดิน เด็ก ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ไม่กลัวคิดว่าเป็นผี ...แต่ จะมีวันไหนที่แม่ต้อยไม่ลุกออกมาเดินอีกแล้วก็ไม่รู้ !?! แล้วเด็ก ๆ จะอยู่กันได้อย่างไร ต้องกำพร้าครั้งที่สองในชีวิตกันอีกแล้วหรือ ?ปัจจุบันบ้านโฮมฮักกำลังประสบภาวะขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างหนัก และยังขาดครูพี่เลี้ยง ขาดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ทยอยถอนตัวออกไป เราลองมาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ให้บ้านโฮมฮักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนเกิน เป็นส่วนที่ต้องกันไว้ให้อยู่อีกโลก เป็นอีกชนชั้นของสังคม ก็น่าจะมองกันใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็ก เป็นชีวิตที่ไร้เดียงสา แววตาบริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ เด็กน้อยเหล่านี้เกิดมาจากปัญหาที่พวกผู้ใหญ่สร้างขึ้นทั้งนั้นถ้า หากใครได้ไปสัมผัสเยี่ยมเยือน เด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก จะเห็นแววตาที่สดใส ร่าเริง ทุกคนจะดีใจที่มีพี่ๆ ไปเยี่ยม ยิ่งถ้าไปเล่นไปสัมผัสเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจิตกุศล ด้วยความรักก็เหมือนได้ต่อเติมชีวิตอันสดใส จากเด็กที่ไม่ลุกเดิน ซึมเศร้าเหม่อลอย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนจะดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ มีรอยยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีใครไปเยี่ยมเยือน"พี่ ๆ จะกลับมาหาพวกหนูกันอีกมั๊ยคะ""พี่หนูอยากได้เสื้อสีแดงไว้ใส่ หนูจะได้ใส่ก่อนตายมั๊ยคะ" และ อีกมากมายคำพูดอันเสียดแทงหัวใจพี่ๆ ทุกคน อยากให้สังคมได้รับรู้ ก่อนจากกันโบกมือลาด้วยน้ำตา และแววตาของเด็ก ๆ ที่มองรถจนลับตาพร้อมกับความหวังว่า จะมีใครมาเยี่ยมเยือนและนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นกันอีกบ้าง…
สำหรับผู้ มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยเหลือเด็ก ๆ โอนเงินไปได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขายโสธร
ชื่อบัญชี มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน เลขที่ 561-2-21187-7
หรือจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน ของเล่น และสิ่งจำเป็นได้ตามจิตศรัทธาเป็นของใหม่หรือของใช้แล้วก็ได้ เพราะของที่ท่านไม่ใช้แล้วยังมีค่ากับเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างมาก
ที่มา:
เป็น forward email มาจากผู้หวังดี .. ผมเชื่อในเจตนาดีของเขา
ผมจึงนำมาpostให้อ่านกัน..ใครนึกถึง "บ้านโฮมฮัก" และ "แม่ต้อย" ไม่ออก .. จำโฆษณาที่คุณเคยซึ้งได้มั้ย ? .. กับโฆษณาไทยประกันชีวิต
.. นั่นแหละ ..แม่ต้อย (ตัวจริง) กำลังจะจากไปในเร็วๆนี้แล้ว และ บ้านโฮมฮักก็อาจจะถึงคราวอวสานเช่นกัน .. พวกเราอาจจะพอช่วยได้ ถ้าช่วยได้ก็รีบให้ความช่วยเหลือพวกเขาด่วนเลยนะครับ .. อย่ารอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ข่าวประชาสัมพันธ์: สวนสัตว์เชียงใหม่เชิญชวนประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาล่า ชิงรางวัลเงินสด 10,000 บาท

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 17 ธ.ค. ที่ส่วนจัดแสดงหมีโคอาล่า สวนสัตว์เชียงใหม่ นายโสภณ ดำนุ้ย ผอ.องค์การสวนสัตว์ ร่วมกับ นายธนภัทร พงษ์ภมร ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ นายนิพนธ์ วิชัยรัตน์ ผู้ช่วย ผอ.นครราชสีมา ช่วยราชการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ แถลงข่าวว่า
ขณะนี้ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้สมาชิกใหม่เป็นลูกหมีโคอาล่าซึ่งกำเนิดจากพ่อไบรอันกับแม่โคโค่ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะนี้มีสุขภาพแข็งแรง สามารถเลี้ยงได้เองตามธรรมชาติและออกจากถุงหน้าท้องของแม่แล้ว พบว่าเป็นลูกหมีเพศเมีย โดยประชาชนที่มาเที่ยวชมสามารถเข้าชมลูกหมีโคอาล่าได้
ทางสวนสัตว์จึงได้จัดประกวดตั้งชื่อลูกโคอาล่า โดยตั้งเงินรางวัล 10,000 บาท
ผู้สนใจสามารถส่งชื่อเข้าประกวดได้ทางเว็บไซต์ http://www.chiangmaizoo.com/
ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 5 ม.ค. 2552
สอบถามได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 053-221179 และ 053-210374
มอบรางวัลผู้ชนะประกวด ในวันที่ 10 ม.ค. 2552 ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติ
ที่มา:
1) ข่าวสดออนไลน์ 2551, สวนสัตว์เชียงใหม่เชิญชวนประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาล่า, accessed 17/12/2551, from
2) สวนสัตว์เชียงใหม่ 2551, สวนสัตว์เชียงใหม่แถลงข่าวการจัดการประกวดตั้งชื่อลูกโคอาล่า, accessed 17/12/2551, from
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ยูโธเปีย (Utopia) และ 1984...วรรณกรรมแปล ตีพิมพ์ใหม่ จากค่าย สนพ สมมติ
มีหนังสือ วรรณกรรมแปล ตีพิมพ์ใหม่ มาแนะนำสองเล่มครับ
จริงๆอาจจะเคยอ่านกันมาแล้วตอนเรียนมหาลัย (สองเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์ของฝรั่งสมัยก่อนด้วย เป็นวรรณกรรมคลาสสิคทั้งสองเล่มครับ)
ตอนนี้พิมพ์ออกมาอีกครั้งในภาษาไทย เหมาะแก่เวลา น่าเก็บสะสม ..
และไม่แน่ใจว่าออกมาขายประชดสังคมไทยหรือปล่าว ?
เหมาะที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์ของประเทศเรา โดยเฉพาะ ระบอบทักษิณ และ ระบอบสนธิ (ลิ้ม) ได้ดีทีเดียว
หาได้ตาม ร้านซีเอ็ด B2S และ ร้านนายอินทร์ ครับ
1) หนังสือชื่อ "ยูโธเปีย (Utopia)" ของ "เซอร์ โธ มัส มอร์"
1) หนังสือชื่อ "ยูโธเปีย (Utopia)" ของ "เซอร์ โธ มัส มอร์"
แปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์ , สนพ สมมติ
(เล่มนี้พวก นักศึกษา แนว hedonism แนว บุปผาชน ชอบอ่านกันมาก สมัยยุค 70)

2) หนังสือชื่อ "1984" ของ "จอร์จ ออร์เวลล์"
แปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง และ อำนวยชัย ปฎิพัทธ์เผ่าพงษ์ , สนพ สมมติ (
อย่างเล่มนี้ตีพิมพ์ภาษาไทยครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2525)

ยอมรับว่าตอนหลังต้องดูหนังประกอบไปด้วยถึงเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียน ..
ตอนอ่านภาษาไทยของ อ รัศมี กับ อ อำนวยชัย สองคนนี้นี่ เคลียร์เลย 100% ..
แกเก่งครับสองคนนี้ แปลไว้ตั้งแต่ปี 2525 (แกแปลตอน 2520-2525 เริ่มแปลตั้งแต่รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ผ่านมาถึงยุค พลอ เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จนถึง รัฐบาลป๋าเปรม ทั้งหมดใช้เวลา 5 ปี นะครับ..
อยากรู้ว่าช่วงนั้นเมืองไทยเป็นอย่างไร ลองหาประวัติศาสตร์การเมืองยุคนั้นมาดูนะครับ .. เหมือน 1984 ทุกอย่างเลย)
เล่มนี้ได้รับ "คำกล่าวตาม" จาก ศ ดร ธงชัย วินิจจะกูล แห่ง ม วิสคอนซิน อเมริกา ด้วยครับ (ไม่ใช่ "คำกล่าวนำ" เพราะว่า แกเขียน comment ของแก ไว้ท้ายหนังสือ...เพราะอะไรก็ลองไปหาอ่านกันดูครับ)
Image Reference:
1) http://www.imdb.com/title/tt0087803/
2) http://www.amazon.com/Utopia-Penguin-Classics-Thomas-More/dp/0140449108/ref=sr_1_1?ie=UTF8&s=books&qid=1229392744&sr=1-1
เพลงในหนังสมัยเรายังหนุ่มๆ & สาวๆ..เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531

เพลงในหนังสมัยเรายังหนุ่มๆ & สาวๆ..
เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531
ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ
จาก webboard ของ "Kamonman.Com"
เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531
ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ
จาก webboard ของ "Kamonman.Com"
เอาไปฟังกันนะครับ
ปล: ใครเรียน ชกพ กับผม จำได้ปล่าว ? .. พวกเราไปดูเรื่องนี้กันตอนเรียน ปวช ที่โรงหนังแมคเคนน่า แถวราชเทวี ต้นๆปี 2531..เรื่องนี้ทำให้เพื่อนเราคนนึงมีชื่อเล่นว่า "ไอ้ปลื้ม" จนถึงทุกวันนี้ :)
หวังดีอยากให้รำลึกถึงความหลังกัน
ปล: ใครเรียน ชกพ กับผม จำได้ปล่าว ? .. พวกเราไปดูเรื่องนี้กันตอนเรียน ปวช ที่โรงหนังแมคเคนน่า แถวราชเทวี ต้นๆปี 2531..เรื่องนี้ทำให้เพื่อนเราคนนึงมีชื่อเล่นว่า "ไอ้ปลื้ม" จนถึงทุกวันนี้ :)
หวังดีอยากให้รำลึกถึงความหลังกัน
Reference:
1) Kamonman 2008, ปลื้ม 2531, accessed 14/12/2008, from
2) NangThai Video 2008, ภาพยนตร์: ปลื้ม, accessed 14/12/2008, from
------------------------------------------------------------------
Note: เชิญคลิ้กแต่ละlinkด้านล่างนี้เพื่อฟังแต่ละเพลงครับ
------------------------------------------------------------------
หมอกบางและลมหนาว ใบไม้พราว ร่วงสู่ดิน
เพลงรัก ยังยลยิน หวานถวิล อีกแสนนาน**
ที่นี่ มีนิยาย ที่เลือนหายไปกับกาล ใครจะรู้ว่าวันวาน นิยายหวานเคยมีมา
ที่นี่เคยมีรัก แสนหวานนัก ยากจักหา
แต่เมื่อมีกาลเวลา รักที่ว่า ก็ถูกลืม
ซ้ำ **
-----------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/03duak%20rak.swf
เพลง ดอกรัก
http://www.fhqhosting.com/ui/03duak%20rak.swf
เพลง ดอกรัก
(ฮือ ....)วันคืนลับล่วง ดังดวงแก้วหาย ความสุขใจกาย ยังติดตราตรึง
รำลึกถึงวัน ผ่านผันแล้วจึง สุขโศกเศร้าซึ้ง วันเก่าผ่านเตือน
ดอกรักเคยบาน เต็มลานหัวใจ เก็บร้อยมาลัย คอยท่าคนเยือน
วันแล้ววันเล่า คอยเฝ้านับเดือน คืนผันวันเลือน ดอกรักร่วงโรย
เก็บไว้ดอกหนึ่ง ไว้ซึ่งไว้สรรไว้คิดถึงวัน ความรักโบกโบย
มีแต่น้ำตา บอกว่าไห้โหย เหมือนสายลมโชย เพียงเท่านั้นเอง (ฮือ....)
-----------------------------------------------------------------------------
โอเอยหัวใจ ทำไฉนถึงจะลืมเขา เขาไม่รักเรา จะมัวเศร้าอยู่ทำไม
เขาเคยบอกรักเรา แต่เขายังเปลี่ยนใจ เขาไปมีคนรักใหม่ ทิ้งเราให้อยู่คนเดียว
* อยากจะเปลี่ยนใจ อยากลืมเขาไป จากใจเรา
ลืมความหลังครั้งเก่า ที่ยังเฝ้าหลอนใจ**
แต่ตัดใจไม่ลง ทั้งรักทั้งหลงเขากว่าใคร
เขายังเฝ้าทำลาย สร้างแผลใจให้กับเราซ้ำ*/**/
-----------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/04jum.swf
เพลง จำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/05Yesterday%20Today%20Tomorrow.swf
-----------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/04jum.swf
เพลง จำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/05Yesterday%20Today%20Tomorrow.swf
เพลง Yesterday Today Tomorrow
----------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/07%20paint%20our%20house.swf
เพลง ทาสีบ้าน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/06ban%20rao.swf
เพลง บ้านเรา
----------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/07%20paint%20our%20house.swf
เพลง ทาสีบ้าน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/06ban%20rao.swf
เพลง บ้านเรา
บ้านเราอยู่ได้ดี สุขีเสียจริง หัวใจมีแต่สิ่งที่แสนสุข
อยู่กันก็ไม่มีความเศร้าความทุกข์ ทุกคนมีแต่ความสำราญ
ต่างคนต่างก็เดินไปตามทางตน ทุกคนมีจุดหมายที่ต้องการ
อย่ากลัวความเป็นจริงที่ต้องพบพาน เพราะเราคงต้องฟันฝ่าไป**
บ้านนี้ซอยนี้ ( บ้านนี้ซอยนี้ ) มีความจริงใจ
อยากบอกใครๆ ให้รักใคร่กลมเกลียว
บ้านนี้ซอยนี้ ( บ้านนี้ซอยนี้ ) มีใจเดียวกัน
ช่วยสร้างช่วยฝัน ชีวิตของเรานั้นต้องอย่าเซ็ง
ต่างคนต่างก็เดินไปตามทางตน ทุกคนมีจุดหมายที่ต้องการ
อย่ากลัวความเป็นจริงที่ต้องพบพาน เพราะเราคงต้องฟันฝ่าไป(ซ้ำ **)
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551
แถลงการณ์ของ ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: เรื่อง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคการเมือง
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยแถลงปิดคดีในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ โดยหลังจากที่มีการแถลงปิดคดีแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในวันเดียวกัน ให้ยุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรค พร้อมทั้งสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคทั้งสามพรรคนั้นระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไป เรา กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแสดงความคิดเห็นเบื้องต้น ต่อคำวินิจฉัยของศาลในเรื่องดังกล่าว ดังต่อไปนี้
๑. ความยุติธรรมเป็นคุณค่าสูงสุด ที่องค์กรตุลาการจำต้องรักษาไว้ให้มั่นคง และแสดงออกให้สาธารณชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ไม่ว่าความขัดแย้งภายในสังคมจะเป็นอย่างไร องค์กรตุลาการ จะเป็นที่พึ่งสุดท้าย ให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่า การพิจารณาคดีและการวินิจฉัยคดี จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม
๒. ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการ แท้ที่จริง หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล หรือการกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งเราทุกคนจำต้องเคารพแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม เรื่องดังกล่าวนี้ จำต้องเกิดมาจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา อีกทั้งความเป็นอิสระ และการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษาเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลจะมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ก็ยังต้องอาศัยความเชื่อถือ อันกอรปด้วยเหตุผลของสาธารณชนประกอบกัน
๓. ในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๓๒ และข้อ ๓๗ จะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีดุลพินิจในการงดไต่สวนพยานหลักฐาน หากศาลเห็นว่า คดีหนึ่งคดีใด มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยก็ตาม
ก็มิได้หมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธการรับฟังพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จากผู้ถูกร้อง ตลอดจนจากบุคคลที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัยได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมจะกล่าวไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้อง ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัย ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ตามหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
๔. ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือ แม้ศาลจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องในคดี ได้แถลงปิดคดีก็ตาม แต่ในวันที่มีการแถลงปิดคดี เมื่อผู้ถูกร้องได้แถลงปิดคดีเสร็จสิ้นแล้ว ถัดจากนั้น ด้วยระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ศาลรัฐธรรมนูญก็อ่านคำวินิจฉัยในทันที และปรากฏความผิดพลาดในคำวินิจฉัย ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขคำวินิจฉัยในขณะที่อ่าน อันเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั่วไป
การอ่านคำวินิจฉัยของศาลโดยรีบด่วนเช่นนี้ คำวินิจฉัยที่ศาลอ่าน จะเป็นคำวินิจฉัย ที่ผ่านการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ กอปรด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ วิญญูชนย่อมพิจารณาได้เองด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น ในสถานการณ์บ้านเมือง ที่กำลังขาดความไว้วางใจระหว่างกันอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม เราเห็นว่า ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ย่อมมิใช่เพียงเพราะว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้ว จึงสมควรยอมรับ หากทว่ายังจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของเรื่อง ประกอบกันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม หรือความอยุติธรรม
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณียุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรคดังกล่าวนี้ จะก่อให้เกิดความยุติธรรมอันควรแก่การสมานฉันท์หรือไม่ หรือมีคุณค่าควรแก่การยอมรับนับถือ ในฐานะที่เป็นคำวินิจฉัยในทางตุลาการหรือไม่
คำตอบ ย่อมขึ้นอยู่กับเสียงแห่งมโนธรรมสำนึกของแต่ละบุคคล
รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล
คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
๑. ความยุติธรรมเป็นคุณค่าสูงสุด ที่องค์กรตุลาการจำต้องรักษาไว้ให้มั่นคง และแสดงออกให้สาธารณชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ไม่ว่าความขัดแย้งภายในสังคมจะเป็นอย่างไร องค์กรตุลาการ จะเป็นที่พึ่งสุดท้าย ให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่า การพิจารณาคดีและการวินิจฉัยคดี จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม
๒. ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการ แท้ที่จริง หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล หรือการกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งเราทุกคนจำต้องเคารพแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม เรื่องดังกล่าวนี้ จำต้องเกิดมาจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา อีกทั้งความเป็นอิสระ และการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษาเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลจะมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ก็ยังต้องอาศัยความเชื่อถือ อันกอรปด้วยเหตุผลของสาธารณชนประกอบกัน
๓. ในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๓๒ และข้อ ๓๗ จะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีดุลพินิจในการงดไต่สวนพยานหลักฐาน หากศาลเห็นว่า คดีหนึ่งคดีใด มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยก็ตาม
ก็มิได้หมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธการรับฟังพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จากผู้ถูกร้อง ตลอดจนจากบุคคลที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัยได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมจะกล่าวไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้อง ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัย ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ตามหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
๔. ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือ แม้ศาลจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องในคดี ได้แถลงปิดคดีก็ตาม แต่ในวันที่มีการแถลงปิดคดี เมื่อผู้ถูกร้องได้แถลงปิดคดีเสร็จสิ้นแล้ว ถัดจากนั้น ด้วยระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ศาลรัฐธรรมนูญก็อ่านคำวินิจฉัยในทันที และปรากฏความผิดพลาดในคำวินิจฉัย ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขคำวินิจฉัยในขณะที่อ่าน อันเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั่วไป
การอ่านคำวินิจฉัยของศาลโดยรีบด่วนเช่นนี้ คำวินิจฉัยที่ศาลอ่าน จะเป็นคำวินิจฉัย ที่ผ่านการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ กอปรด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ วิญญูชนย่อมพิจารณาได้เองด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น ในสถานการณ์บ้านเมือง ที่กำลังขาดความไว้วางใจระหว่างกันอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม เราเห็นว่า ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ย่อมมิใช่เพียงเพราะว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้ว จึงสมควรยอมรับ หากทว่ายังจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของเรื่อง ประกอบกันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม หรือความอยุติธรรม
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณียุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรคดังกล่าวนี้ จะก่อให้เกิดความยุติธรรมอันควรแก่การสมานฉันท์หรือไม่ หรือมีคุณค่าควรแก่การยอมรับนับถือ ในฐานะที่เป็นคำวินิจฉัยในทางตุลาการหรือไม่
คำตอบ ย่อมขึ้นอยู่กับเสียงแห่งมโนธรรมสำนึกของแต่ละบุคคล
รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล
คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ประสบการณ์ที่เขตปกครองพิเศษภาคตะวันออก
ตอนนี้ว่างๆ ตกงานชั่วคราว ก็เลยช่วย work out เอา INTERNET WIFI ของยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่ง ว่าจะเอาเข้าไปติดตั้งที่สนามบินอู่ตะเภา แต่ก็ต้องเหนื่อยหน่ายกับพวกตัวถ่วงชาติบ้านเมืองมากมาก โดยเฉพาะเหลือบในเขตปกครองพิเศษแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ผมอุตส่าห์หาจากพรรคพวกเอาระบบ WIFI ที่ดีเยี่ยมมาให้ใช้ฟรีที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอีกแรง .. แต่เหลือบแห่งเขตปกครองพิเสษนี้กลับคิดจะเอาประโยชน์จากผม .. แค่คำแรกที่หลุดจากปากก็ทำให้ผมอึ้งแล้ว .. เช่น .. ผมมาช่วยเนี่ย ผมจะได้อะไร ?
บอกตรงๆ ผมรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร .. ผมเคยทำ Government project มาเยอะ สมัยหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐาน หกล้านเลขหมาย หรือ งานตู้ switch gear / switch board ของโรงไฟฟ้าใหญ่ๆ หลายที่ในประเทศไทย..แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้อีกครั้ง นี่อายุผมก็กำลังเข้าสู่ปีที่สามสิบแปดแล้ว..เหลือบไรก็ยังเยอะเช่นเดิม
ไอ้นิสัยนักการเมืองรุ่นเก่าๆยังฝังในกระดูกพวกเหลือบ .. ในทางชีววิทยา ผมไม่แน่ใจว่าเหลือบพวกนี้มีกระดูกหรือไม่ รู้แต่ว่า ขนาดชาติล่มจม เหลือบพวกนี้ก็ยังมานั่งหากิน หาผลประโยชน์กันบนกองทุกข์ของคนได้อีก
ตอนแรกผมว่าจะเลิกทำดีแล้ว ทำไปเหลือบเผ่าพันธ์นี้มันก็ไม่เห็นค่าไม่รู้สึกรู้สาหรอก .. ก็จริง คิดอีกที ผมก็แค่ คนเพี้ยนๆ แต่งตัวกระจ๊อกๆมาจากที่ไหนไม่รู้ ที่บังเอิญผ่านมาทำมาหากินในถิ่นของเขา
โชคผมยังดีที่ผมได้ข้าราชการท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในจังหวัดเข้าช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดสามารถประสานงานได้กับทีมนายทหารที่อำนวยการอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาได้อย่างทันท่วงทีและดูเป็นกัลยาณมิตร เข้าใจในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ติดอยูในสนามบินแห่งนี้ได้ดี
ตอนนี้โครงข่าย WIFI กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบในด้านความน่าจะเป็นด้านเทคนิคว่าจะสามารถทำงานได้ดีได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้เวลาเท่าไหร่เมื่อเริ่มทำการติดตั้งจนสามารถใช้งานได้จริง 100 %
ผมพูดจริงๆ ผมหน่ะไม่อยากได้หน้าหรอก หน้าผมใหญ่พอแล้ว .. ผมก็แค่ว่าผมสงสารพวกนักท่องเที่ยวที่เราไปกระทำชำเราจิตใจเขามาหลายวันแล้ว ก็เท่านั้นเอง
ผลประโยชน์...ผมไม่เคยอยากคิดอยากได้หรอก เงินพวกนี้เคยได้เคยมีมาพอแล้ว คนที่มันนับถือเงิน นับถือผลประโยชน์ส่วนตนอย่างโง่เขลา .. ไอ้พวกนี้มันไม่ใช่คน มันคือเหลือบไรในร่างมนุษย์
สุดท้าย ท่องไว้คาถาสำหรับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา .. อดทน อดทน อดทน :)
ปล มีอะไรดีๆจะอัพเดทใส่บล้อคไปให้อ่านเรื่อยๆนะครับ
วันนี้ไปนอนก่อนหล่ะคับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
ผมอุตส่าห์หาจากพรรคพวกเอาระบบ WIFI ที่ดีเยี่ยมมาให้ใช้ฟรีที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอีกแรง .. แต่เหลือบแห่งเขตปกครองพิเสษนี้กลับคิดจะเอาประโยชน์จากผม .. แค่คำแรกที่หลุดจากปากก็ทำให้ผมอึ้งแล้ว .. เช่น .. ผมมาช่วยเนี่ย ผมจะได้อะไร ?
บอกตรงๆ ผมรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร .. ผมเคยทำ Government project มาเยอะ สมัยหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐาน หกล้านเลขหมาย หรือ งานตู้ switch gear / switch board ของโรงไฟฟ้าใหญ่ๆ หลายที่ในประเทศไทย..แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้อีกครั้ง นี่อายุผมก็กำลังเข้าสู่ปีที่สามสิบแปดแล้ว..เหลือบไรก็ยังเยอะเช่นเดิม
ไอ้นิสัยนักการเมืองรุ่นเก่าๆยังฝังในกระดูกพวกเหลือบ .. ในทางชีววิทยา ผมไม่แน่ใจว่าเหลือบพวกนี้มีกระดูกหรือไม่ รู้แต่ว่า ขนาดชาติล่มจม เหลือบพวกนี้ก็ยังมานั่งหากิน หาผลประโยชน์กันบนกองทุกข์ของคนได้อีก
ตอนแรกผมว่าจะเลิกทำดีแล้ว ทำไปเหลือบเผ่าพันธ์นี้มันก็ไม่เห็นค่าไม่รู้สึกรู้สาหรอก .. ก็จริง คิดอีกที ผมก็แค่ คนเพี้ยนๆ แต่งตัวกระจ๊อกๆมาจากที่ไหนไม่รู้ ที่บังเอิญผ่านมาทำมาหากินในถิ่นของเขา
โชคผมยังดีที่ผมได้ข้าราชการท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในจังหวัดเข้าช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดสามารถประสานงานได้กับทีมนายทหารที่อำนวยการอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาได้อย่างทันท่วงทีและดูเป็นกัลยาณมิตร เข้าใจในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ติดอยูในสนามบินแห่งนี้ได้ดี
ตอนนี้โครงข่าย WIFI กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบในด้านความน่าจะเป็นด้านเทคนิคว่าจะสามารถทำงานได้ดีได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้เวลาเท่าไหร่เมื่อเริ่มทำการติดตั้งจนสามารถใช้งานได้จริง 100 %
ผมพูดจริงๆ ผมหน่ะไม่อยากได้หน้าหรอก หน้าผมใหญ่พอแล้ว .. ผมก็แค่ว่าผมสงสารพวกนักท่องเที่ยวที่เราไปกระทำชำเราจิตใจเขามาหลายวันแล้ว ก็เท่านั้นเอง
ผลประโยชน์...ผมไม่เคยอยากคิดอยากได้หรอก เงินพวกนี้เคยได้เคยมีมาพอแล้ว คนที่มันนับถือเงิน นับถือผลประโยชน์ส่วนตนอย่างโง่เขลา .. ไอ้พวกนี้มันไม่ใช่คน มันคือเหลือบไรในร่างมนุษย์
สุดท้าย ท่องไว้คาถาสำหรับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา .. อดทน อดทน อดทน :)
ปล มีอะไรดีๆจะอัพเดทใส่บล้อคไปให้อ่านเรื่อยๆนะครับ
วันนี้ไปนอนก่อนหล่ะคับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)