ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปเยี่ยมสนามบินอู่ตะเภามาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ลักษณะของอาคารผู้โดยสาร มีขนาดประมาณ ปั๊ม ปตท ขนาดแค่หนึ่งสถานี เพื่อรองรับกับจำนวนผู้โดยสารนับได้หลายพันคน
เหมือนว่าเราเอากล่องไม้ขีดมาวางกลางลานบ้านโล่งๆ อะไรๆประมาณนั้นเลยครับ
รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ผมต้องจอดรถและใช้เวลาเดินกว่าสิบห้านาทีกว่าที่จะเห็นตัวอาคารสนามบินได้ถนัดตา ก็บอกแล้วมันเล็กมากกกก
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เดินทางมาอู่ตะเภาต่างพยายามจะไปให้ถึงตัวสนามบินให้ได้ พวกเขาลงเดินเท้ากันเป็นขบวนยาวเหยียด ภาพไม่ต่างอะไรกับที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่พวกพันธมิตรเข้าปิดล้อมวันแรก
เมื่อเดินเท้าไปถึงนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวสนามบินได้สักที เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะว่าคนมันต่อคิวเข้า check-in หรือ check-flight จนสถานที่ไม่พอบรรจุคน มันล้นปรี่ออกมานอกสนามบินทะลักออกนอกประตู เป็นสายยาว บ้างนั่ง บ้างนอน ตามมีตามเกิด เหมือนๆกับการต่อคิวเพื่อเข้าไปซื้อหนังสือ harry porter เล่มล่าสุด หรือ เหมือนกับแถวที่รอเข้าคิวเล่นเรือไวกิ้งที่ดรีมเวิลด์ในวันสงกรานต์ อย่างไรอย่างนั้นเลย
จากภาพที่เห็น ในใจผมตอนนั้นคิดประโยคออกมาได้เพียงประโยคเดียว... เขมรแตก !!!
เมืองไทยเรามีวันนี้ด้วยจริงๆเหรอนี่ ... อายุผมก็กว่าสามสิบเจ็ดเข้าไปแล้ว ... เคยผ่านพฤกษภาทมิฬมา ก็ไม่เคยเห็นชาวต่างชาติต้องมาได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ ... ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ
หันมาดูหน้านักท่องเที่ยว.. เกือบทุกคนมีสีหน้าตระหนก ต่างก็หวั่นว่าตัวเองจะได้บินออกจากดินแดนสาระขันธ์นี้ไปได้ไหม เมื่อไหร่ พวกเขาต่างภาวนาให้เหตุการณ์ การรอคอยที่แสนทุกข์ทนนี้จบลงโดยเร็วที่สุด .. ผมแทบอ่านใจเขาออกเลย จากใบหน้าของพวกเขา ผมว่าเขาอาจจะคิดนะ ... ถ้าเป็นไปได้ ขอแค่หลับตาแล้วตื่นมากลายเป็นอีกประเทศนึง ถึงแม้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของพวกเขา ก็ยังดีกว่าที่จะอยู่ในประเทศไทยนี้
อีกอย่างที่ confirm ว่าการเดาของผมน่าจะใกล้เคียง .. ผมแอบได้ยินพวกเขาคุยกันว่า พอบินถึง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือ กรุงโซล แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะต้องไป Transist เครื่องอีกกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ยังสบายอกสบายใจมากกว่า การอยู่ในเมืองไทย
ผมมีโอกาสได้ช่วยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันซึ่งเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็น Volunteer ที่ทำงานอยู่ในทวีปแอฟริกาหลายๆประเทศในทวีปนี้มากว่าสองปี และได้มาแวะพักผ่อนที่เมืองไทยก่อนเดินทางกลับอเมริกา ซึ่งกำหนดกลับเขาต้องกลับไปฉลอง thanks giving หรือ ฉลองวันขอบคุณพระเจ้า กับครอบครัวของเขาคือพ่อแม่พี่น้องให้ทัน เพราะจะมีแค่ปีละครั้งเท่านั้นสำหรับครอบครัวใหญ่อย่างเขาที่ทุกคนจะว่างมาพบปะพูดคุยกัน ฉลองร่วมกัน .. แต่ก็อย่างที่ทราบ เขาก็ยังไม่ได้กลับ
เขาโชคดีมากที่ได้สิทธิ์พำนักอยู่ต่อในเมืองไทยจากพวกพันธมิตรที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใช่ครับเขาต้องอยู่ในโรงแรมที่ทางการจัดให้อยู่หลายวัน ใครเคยไปต่างบ้านต่างเมืองบ่อยๆคงเข้าใจความรู้สึกของคนอยากกลับบ้านแต่ไม่ได้กลับได้ดี :(
และเช้าวันที่ผมเจอเขา เขาได้รับการ confirm จาก agency ว่า มีเครื่องบินจะมารับเขาที่อู่ตะเภาไปยังกรุงโซลของเกาหลีใต้ เพื่อต่อเครื่องเข้าประเทศอเมริกาซึ่งก็คือจุดหมายปลายทางของเขา และในวันที่ผมพบเขาเป็นครั้งแรกนี้ เขามีสีหน้าที่อิดโรยมาก หวาดระแวงคนไทยไปหมด ผมคาดว่าเขาคงเดินเข้ามาที่สนามบินจากจุดจอดรถที่ไกลมากๆ ผมสังเกตจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขา
ผมเห็นเขาถามหา internet cafe หรือ ตู้โทรศัพท์แบบ international call กับพวกแท๊กซี่ ซึ่งพวกแท๊กซี่เหล่านี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าที่ไหนในอู่ตะเภาที่จะมีของเหล่านี้ได้
มันจะมีได้อย่างไรหล่ะครับ อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาแต่ในนามเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วสนามบินนี้มีขนาดกระทัดรัดมาก สาธารณูปโภคจึงกระทัดรัดตามไปด้วย
แต่ก็โชคดีมากๆ เหมือนฟ้ามาโปรดทีเดียว ... เมืองพัทยา ท่านใจดีสั่งให้รถสุขาเคลื่อนที่มาประจำอยู่ที่ลานจอดรถของสนามบินตั้งสองคัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมหาศาล สุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่หนึ่ง
ลืมบอกไปครับ ชาวอเมริกันคนนั้นเขาเผอิญหันมาเห็นผมพอดี เขาคงคาดเดาได้ว่าผมพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง คาดว่าคงจะสังเกตจากเลนส์แว่นที่หนาเตอะของผม เขาหันมาถามผมด้วยคำถามเดียวกับที่ถามแท๊กซี่เมื่อกี้ ผมก็ตอบไปว่าเท่าที่รู้แถวนี้เป็นเขตของทหารเรือทั้งหมด ไอ้พวก Internet หรือ International Call ที่เขาต้องการหน่ะ น่าจะต้องออกไปหาข้างนอกฐานทัพเรือนั่นแหล่ะ ก็คงจะหาได้บ้าง
เขาก็ถามผมว่าถ้าจะจ้างผมพาเขาออกไปได้ไหม คิดเงินเท่าไหร่ .. ผมตอบกลับไปว่าไม่ต้องจ้างผมหรอก ผมยินดีช่วยฟรีๆเลย แต่ปัญหาคือ พวกเราจะออกไปอย่างไร ขณะที่พูดกันอยู่นี่เราเดินไปไม่ถึงตัวสนามบินเลย มองก็ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ... ทหารเรือท่านก็ทำเท่ห์มาก จัดรถแบบวันเวย์ แถมตรวจเข้มเสียด้วย ถ้าจะออกไปแล้วกลับมาคงจะไม่คุ้มทุนสร้าง ทั้งการเสียเวลา และ ค่าแก๊ส (รถผมใช้แก๊สแล้วครับ คิดผิดจริงๆ เขาจะขึ้นทั้งหมดอีกหกบาทแหน่ะ)
ขณะที่เดินกลับมาที่รถของผมเพื่อคิดหาทางขับออกไป ก็นึกได้ว่าไอ้โทรศัพท์ผมนี่แหละช่วยเขาได้ เพระมันรับส่งอีเมลล์ได้ ผ่าน แอดเดรส และ GPRS ของผม ... ขอบคุณสัณญาณ DTAC ... เอาเป็นว่าในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมาย สามารถส่งข้อความสำคัญไปให้ครอบครัวของเขาได้ ผมนี่รู้สึกดีใจมากที่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความเข็ญใจของเขาลงไปได้บ้าง
เขาส่งอีเมล์อีกอันไปให้แม่เขาเพื่อขอให้แม่เขาติดต่อ agency ใน อเมริกาให้ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องบินจะมารับเขาตีหนึ่งครึ่ง(ของอีกวันหนึ่ง)ที่อู่ตะเภา โดยไม่เกิดการ cancel flight ..
เขามากระซิบบอกผมตอนหลังว่า เขาทนอยู่เมืองไทยไม่ไหวแล้วแม่แต่วินาทีเดียว เขาบอกว่าตอนนี้ประเทศไทยในสายตาพวกต่างชาติอย่างพวกเขา ก็คือประเทศแอฟริกา ที่ติดแอร์ มีไฟฟ้ามีน้ำใช้ก็แค่นั้นเอง ... เขาถามผมรู้จักเรื่องราวของ ประเทศอูกันด้า ไหม .. ผมตอบไปว่าคลับคล้ายคลับคลานะ คุณกำลังหมายถึงประเทศผมนี่ มี ..อีดี้ อามีน..อยู่ใช่ไหม ???
เขากลับหัวเราะ ไม่ตอบ แต่ผมพอเดาได้ว่าคำตอบผมถูก ตรงใจเขาที่สุด ...อืมมม ... ผมเห็นด้วย :)
ก่อนจากกันเขาขอบอกขอบใจผมใหญ่ที่ผมช่วยเขา ผมรู้สึกได้ว่าเขาดีใจมาก ดีใจมากที่ยังมีคนไทยคอยดูแล ไม่ใช่คอยรังแกเขาเหมือนเมื่อเขาอยุ่ในสนามบินที่สุวรรณภูมิเมื่อหลายวันก่อน .. ผมให้เบอร์มือถือผมกับเขาไป เพื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เขายังมีเพื่อนที่พอจะติดต่อได้บ้าง และหรือ เขาอาจจะโทรเข้ามาถามผมเผื่อว่าแม่เขาจะตอบ email กลับมาหาเขา หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง
สรุปแล้ววันนั้นเขาคงได้flight ไปโซลแล้วหล่ะ ไม่มีโทรศัพท์กลับมาหาผมอีกเลย
หวังว่าป่านนี้เขาคงจะใกล้ถึงอเมริกาแล้ว
โชคดีเพื่อน
ถ้าจะมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง พวกเรายินดีต้อนรับนะ
แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำใจพร้อมพอ .. เพื่อมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งเมื่อไหร่ ?
ผมไม่ได้หมายถึงเขาแค่คนเดียวนะ ผมกำลังหมายถึง นักท่องเที่ยวทุกๆคนที่เคยอยู่และยังต้องอยู่ในเมืองไทยแบบ วันเขมรแตก ของเรา
พวกเขาจะยอมกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกหรือปล่าว ? .. ใครรู้ ใครมั่นใจ ... ช่วยตอบทีครับ !
ปล: เจ้าหน้าที่ทหารเรือท่านก็ใจดี.. กั้นที่ให้เราไปจอดรถและกลับรถ .. แค่ขอเก็บค่าผ่านทางนิดหน่อยเล็กน้อย .. เริ่มต้นที่คันละ 20 บาท พร้อมใบเสร็จ ... เรื่องนี้ทหารท่านก็วิสัยทัศน์สุดยอดเช่นกัน ขอยกให้เป็นสุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่สอง
อืมมม...ผมง่วงมากแล้ว ไปนอนก่อนหล่ะ แล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทให้ใหม่ .. ถ้าอู่ตะเภาเขามีอะไรเปลี่ยนแปลง และ ถ้าเช้าวันนี้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศไทยอยู่นะ .. ผมหวังอย่างนั้นนะ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
เขียนเมื่อ 2 ธค 2551 เวลา 02:30AM
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น