วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

พันธมิตรต้องหยุดชุมนุม กลับสู่ระบบนิติรัฐ

ถึงเวลานำประเทศกลับสู่ระบบนิติรัฐยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรผู้นำทุกฝ่ายต้องควบคุมมวลชนของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ

เหตุการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ได้ทำให้ประเทศชาติสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และภาพพจน์ในสายตานานาชาติอย่างไม่อาจประมาณค่าได้ อีกทั้งยังมีการปะทะกันของประชาชนฝ่ายต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ และแนวโน้มว่าความรุนแรงระหว่างประชาชนจะแผ่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น จนนำประเทศไทยไปสู่มิคสัญญี และการรัฐประหารในที่สุด พวกเราในฐานะสมาชิกเครือข่ายสันติประชาธรรม จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หาทางยุติภาวะดังกล่าวก่อนที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียไปมากกว่านี้
1. สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้กลุ่มพันธมิตรอยู่เหนือกฎหมายอีกต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐต้องหาทางยุติการชุมนุมของพันธมิตร
การที่สังคมไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่มิคสัญญีในขณะนี้เป็นผลพวงโดยตรงของความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการจัดการกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองให้อยู่ภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง กล่าวได้ว่า ที่ผ่านม าฝ่ายต่าง ๆ ได้ปล่อยปละละเลย จนถึงขั้นอุ้มชูให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวในลักษณะที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองตลอดมา เสมือนว่ากลุ่มพันธมิตรคืออภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือกฎหมายของประเทศนี้
แน่นอนว่ากลุ่มพันธมิตรมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองของตน แต่ผู้นำพันธมิตรจักต้องตระหนักเช่นกันว่า ระบบนิติรัฐคือหัวใจสำคัญของหลักการและกระบวนการประชาธิปไตย กฎหมายมีไว้ปฏิบัติต่อทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะมันคือหลักประกันว่าสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นจะไม่ถูกละเมิด
แต่การใช้ยุทธวิธีบุกยึดสถานที่สำคัญ ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเสมือนการจับเอาประเทศและประชาชนเป็นตัวประกัน ใช้ความเสียหายสุดคณานับเป็นเงื่อนไขเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาล ผู้นำกองทัพ และกลุ่มธุรกิจ ต้องจำนนต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มตน จึงเท่ากับบีบบังคับให้คนทั้งประเทศยอมรับต่อกฎเกณฑ์ที่ผู้นำพันธมิตรเป็นผู้กำหนดแต่ฝ่ายเดียว
ฉะนั้น ไม่ว่าเจตน์จำนงของผู้นำพันธมิตรจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่วิธีการที่ดำเนินตลอดมาได้ทำลายความชอบธรรมของกลุ่มพันธมิตรลงแล้วอย่างสิ้นเชิง สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้วิธีการของกลุ่มพันธมิตรกลายเป็นบรรทัดฐานของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอนาคต
ดังนั้น จึงถึงเวลายุติการชุมนุมของพันธมิตร เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจักต้องหาทางนำประเทศคืนสู่ระบบนิติรัฐโดยปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ฝ่ายพันธมิตรออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้จักต้องดำเนินไปด้วยความละมุนละม่อม ตามหลักปฏิบัติสากลของการสลายการชุมนุม เพื่อป้องกันความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
2. เราขอประณามการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ผู้นำทุกฝ่ายต้องควบคุมมวลชนของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ
เราขอเรียกร้องให้ผู้นำทั้งของพันธมิตร และฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ยุติการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่จะนำประเทศไปสู่การนองเลือด มิคสัญญี และรัฐประหารในที่สุด พวกท่านจักต้องรับผิดชอบให้มวลชนของตนตั้งอยู่ในความสงบ หยุดยั่วยุ ทำร้ายซึ่งกันและกัน และปราศจากการใช้อาวุธใด ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐจักต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ใช้ความรุนแรงอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่เลิกฝักฝ่าย การเลือกปฏิบัติไม่เพียงแต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของกลไกรัฐ แต่จะยังทำให้ความพยายามฟื้นฟูระบบนิติรัฐแก่สังคมไทยเป็นไปได้ยากยิ่ง

เครือข่ายสันติประชาธรรม
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.เกษม เพ็ญภินันท์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา: เครือข่ายสันติประชาธรรม (Rule of Law Thailand), accessed 27/11/2008, from
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จดหมายถึงพันธมิตรทุกคนที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ในตอนนี้...

ถึง พันธมิตรทุกคนที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ในตอนนี้...

กรุณาอ่านเรื่องด้านล่างนี้แล้วคิดเอาเองว่า เรากำลังจับเขาเหล่านี้เป็นตัวประกันเพียงเพื่อแสดงความสะใจ เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มพวกคุณแค่นั้นหรือ ?

ถ้ามีสมองใหญ่เพียงพอที่จะใช้คิดก่อนทำ .. ก็อยากให้ใช้มันคิดให้มาก มากกว่าใช้อารมณ์และความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่.. ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปมากนัก กลับตัวกลับใจ เดินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเถอะ .. สังคมไทยตลอดจนถึงสังคมโลกคงจะทำใจให้อภัยพวกคุณได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาทำใจบ้าง เพระความสูญเสียที่คุณทำเอาไว้ตอนนี้มันสาหัสนักต่อ สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และ ชื่อเสียง ของประเทศเราในสายตาชาวไทยและประชาคมโลก

ผมไม่มั่นใจว่าผู้โดยสารต่างชาติกว่าสามพันคนที่ติดค้างอยู่ที่นี่อันเนื่องมาจากการลุแก่อำนาจของพวกคุณนั้นมีมาจากกี่ชาติ แต่ที่ผมรู้ก็คือพวกเขาเหล่านี้ถูกบังคับให้เป็นตัวประกันของพวกคุณไปโดยปริยาย

มีหลายๆคนที่เป็นอเมริกันที่เขาเฝ้ารอกลับบ้านเพื่อไปฉลอง Thanks Giving กับครอบครัวของเขาในวันนี้ (27 พย 2551) แต่พวกคุณก้ได้ทำลายความหวังและความสุขของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว

พวกคนต่างชาติเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย .. ถ้าคุณต้องการเรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพของพวกคุณ .. แล้วพวกเขาหล่ะ เขาต้องเสียสิทธิเสรีภาพของเขาเหล่านี้เพื่อพวกคุณด้วยเหรอ ?

พวกคุณล้ำเส้นเกินไปมากแล้ว ไตร่ตรองใหม่ พวกคุณไม่ได้แค่จะพยายามทำลายรัฐบาลชุดนี้ให้แหลกคามือเท่านั้น พวกคุณกำลังทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้แหลกคามือไปด้วย และถ้าเหตุการณ์นี้มันบานปลายจนหยุดไม่อยู่ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับพวกทรราชย์ที่พวกคุณปั้นแต่งขึ้นมาด่าใส่เขาทุกวัน และหลังจากนี้ ลูกกหลานของพวกคุณคงจะจารึกประวัติศาสตร์ครั้งนี้ให้พวกคุณใหม่ว่า ... พันธมิตรสามานย์

ด้วยความหวังดียิ่งต่อชาติ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
----------------------------------------------------------------------


นักท่องเที่ยวสวีเดนช้ำ ลูกป่วย ติดแหงกถูกลอยแพที่สุวรรณภูมิ

หนังสือพิมพ์ชั้นนำ Expressen ของสวีเดนรายงานข่าวหน้าหนึ่งในวันนี้ โดยสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่งและลูกสองคนที่ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิหลายชั่วโมงโดยไม่รู้อนาคต
แม็ทส์และแอนนา สามีภรรยาชาวสวีเดน และลูกสองคนอายุสองขวบครึ่งและอีกคนอายุเพียง 11 เดือน ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 3,000 คนเนื่องจากเที่ยวบินถูกยกเลิกถึง 78 เที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวบินจากโคเปนเฮเกน-กรุงเทพ ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่นักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวียนิยมใช้บริการ
แม็ทส์ กล่าวว่า “เด็กๆ ป่วย และเราไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เราประหลาดใจ และตกใจมาก ระหว่างที่เราขึ้นแท็กซี่มาที่สนามบิน เราเห็นคนประท้วง คนเหล่านั้นจำนวนมากมีอาวุธด้วย ในตอนนี้เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้ครอบครัวเราอยู่ที่นี่พร้อมกับเด็กๆ เล็ก เราไม่มีข้อมูลเลย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรเลย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คุณรู้สึกอย่างไร? เขาตอบว่า “ลูกของเราป่วย มันเป็นแย่มาก (damn bad) ลูกของเราปวดท้อง”

ต่อคำถามที่ว่า คุณจะกลับมาประเทศไทยหรือไม่? “มันเป็นเรื่องที่ตอบยากในเวลานี้ เราลังเลกับการกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก บริษัทการบินบอกเราว่า เลือกนอนในห้องโถงของโรงแรมก็ได้ หรือว่าจะพักอยู่ที่สนามบินต่อไป”

อย่างไรก็ตาม “ประชาไท” ได้ขอสัมภาษณ์ เอริค โอเซ็น ชาวสวีเดนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยระยะสั้นเขาให้ความเห็นว่า “คนสวีเดนรักประเทศไทย คนไทยเป็นคนนิสัยดี ตอนเหตุการณ์สีนามิ ก็ขอชมว่ารัฐบาลไทยตั้งใจช่วยเหลือคนสวีเดนเป็นอย่างดี แต่ถ้าสถานการณ์นี้ยังไม่ยุติและดำเนินต่อไป มันจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนและสแกนดิเนเวียลงเป็นจำนวนมาก เพราะว่าสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนและมันยากที่จะคาดเดาได้

ทั้งนี้ในปี 2007 จำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนมีจำนวนกว่า 300,000 คน

ที่มาส่วนหนึ่งเรียบเรียงจากข่าว : Mats och Anna fick sova på golvethttp://www.expressen.se/Nyheter/1.1382160/mats-och-anna-fick-sova-pa-golvet

แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน .. เรื่อง ประณามการร่วมสร้างภาวะมิคสัญญีในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยโดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่การดึงเอาอำนาจนอกระบบเข้ามาเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา ดังเห็นได้จากการเคลื่อนไหวแบบสุ่มเสี่ยง การเข้ายึดสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบและความเสียหายที่จะติดตามมาแม้แต่น้อย ทั้งหมดกำลังนำพาสังคมไทยไปสู่ความหายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในห้วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องมิใช่เพียงการระดมผู้คนเข้าร่วมโดยแกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความหายนะที่เกิดขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ โดยมีบุคคลและองค์กรที่มีบทบาทสำคัญดังต่อไปนี้

1. ปัญญาชนสาธารณะและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ นพ.ประเวศ วะสี, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีบทบาทต่อการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ รวมถึงบรรดานักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่ได้ช่วยให้เกิดขบวนการพันธมิตรฯ ขึ้น แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามิใช่เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของอารยะขัดขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมประชาธิปไตย

2. ส.ว. กลุ่ม 40 และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งได้เข้าร่วมอย่างแข็งขันทั้งในการเข้าร่วมปราศรัย การให้สัมภาษณ์สนับสนุนแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ โดยทั้งนี้ เพื่อมุ่งประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ของบ้านเมืองและการสร้างระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรมในระยะยาว

3. สื่อมวลชนที่ไม่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ได้เสนอข่าวที่เป็นด้านบวกแก่สนับสนุนพันธมิตรฯ มาอย่างต่อเนื่อง แนวทางการเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ได้เป็นการนำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจรอบด้านแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ดำเนินการโดยภาษีของประชาชนทั้งหมด

มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องบุคคลและองค์กรดังกล่าวได้แสดงความรับผิดชอบต่อความหายนะที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย ในฐานะที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนและค้ำยันต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ด้วยการยอมรับความผิดพลาดและแสดงความเห็นวิจารณ์ต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการตรวจสอบและหยุดยั้งการกระทำรุนแรงของแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นอันตรายต่อสังคมทั้งหมดดังที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญเพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นไปจากภาวะมิคสัญญีที่ไร้ขื่อแป และสร้างสังคมประชาธิปไตยที่การแสดงความคิดเห็นและการเคลื่อนไหวต่างๆ ดำเนินไปบนหลักนิติธรรมและการเคารพต่อสังคมโดยรวม


มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
26 พฤศจิกายน 2551

บทกลอนสะท้อนความจริงที่สุวรรณภูมิ ...แต่งโดย "ว ณ ปากนัง"

ประเทศไทย ตัวประกัน ของพันธมิตร
ที่วิปริต คลุ้มคลั่ง ทั้งสับสน
มุ่งต่อรอง ครองอำนาจ ประกาศตน
ช่วงชิงปล้น ทุกคน เป็นตัวประกัน

สนามบิน สุวรรณภูมิ คือหน้าตา
ถูกคนบ้า สาดน้ำกรด รดโศกศัลย์
เพียงเพื่อหวัง ให้ทุกคน ตามใจมัน
ตัวประกัน คือชาติ โอ้ชาติไทย

ผู้หนุนหลัง พันธมิตร จงคิดตรอง
สิ่งเรียกร้อง เกินไป ใช้ไม่ได้
สิ่งที่ทำ คืออนาธิปไตย
อำนาจใหญ่นอกระบบควรลบไป

ขอประณาม อำนาจ นอกระบบ
ไม่เคารพ ปวงชน คนส่วนใหญ่
พาประเทศ ถอยหลัง เหมือนตั้งใจ
รักษาไว้ อภิสิทธิ์ อิทธิพล

ขอประณาม ผู้ละเว้น ทำหน้าที่
จนไม่มี ศักดิ์ศรี เท่าเส้นขน
ปล่อยคนผิด ทำผิด จนฤทธิ์ล้น
บังเกิดผล กลียุค ขุกแค้นเคือง


ที่มา: ว ณ ปากนัง..
http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=14614&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai )

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ข่าวฝากประชาสัมพันธ์:22 พ.ย. เสวนาเรื่อง สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม- รัฐสวัสดิการ ?

การเสวนา เรื่อง
สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม- รัฐสวัสดิการ ?
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551

ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค ดินแดง กทม.

จัดโดย
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับ
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท

09.00-09.30 ลงทะเบียน
09.30-09.40 กล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)
09.40-11.00 เสวนา เรื่อง สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมกับการพัฒนารัฐสวัสดิการในสังคมไทย
ประเด็น

นำเสนอโดย
ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร. สุรพล ปธานวนิช คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คุณสุนี ไชยรส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
คุณไพโรจน์ พลเพชร ประธาน กป.อพช.

ดำเนินรายการโดย ดร. นภาพร อติวานิชยพงศ์ สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11.00-11.15 พัก
11.15-12.30 ซักถามและอภิปรายทั่วไป
12.30-13.30 อาหารกลางวัน
13.30-14.30 กลุ่มย่อย- แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
14.30-15.30 นำเสนอและอภิปรายทั่วไป
15.30 สรุปและปิดการเสวนา

วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คุณขอมา: ชีวประวัติโดยย่อของ "Henry David Thoreau", ผู้ให้กำเนิด "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)"

เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เขาคือนักเขียน นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ นักปรัชญาประชาธิปไตยผู้ให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกชน (Individualism) และเขาคือผู้ให้กำเนิดความหมายของคำว่า "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)" บนโลกใบนี้
เขาได้บันทึกในความเรียงที่ชื่อ Civil Disobedience ชื่อเดิมคือ Resistance to Civil Government ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2392 (ค.ศ.1849) โดยใจความสำคัญตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหมายของการอารยะขัดขืนซึ่งไม่ได้หมายความถึงการขัดขืนดื้อด้านโดยการทำบ้านเมืองให้ตกอยู่ในสภาวะอนาธิปไตยเลย หากแต่ความหมายของมันคือการขัดขืนเชิงสัญลักษณ์ล้วนๆ เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย้ยหยันที่ได้เห็นความเหนื่อยยากในการลั่นดาลประตูเสียแข็งแกร่ง เพื่อกักขังความคิดของข้าพเจ้า ซึ่งกลับเล็ดลอดออกไปข้างนอกได้อีกครั้งโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ และมีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริง (Thoreau 2003)" และอีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐที่ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยได้หากว่าการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดนั้นๆถูกมองว่าเป็นเพียงการกระทำที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ เขาสรุปว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองในอันดับถัดไป คงจะไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม (Thoreau 2003)"

จากข้อมูลของวิกิพีเดีย (วิกิพีเดีย 2008) บันทึกไว้ว่า ธอโรเกิดเมื่อวันที่12 กรกฎาคม พ.ศ. 2360 (ค.ศ. 1817) ณ เมืองคองคอร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อจบการศึกษาในปีพ.ศ. 2380 (ค.ศ. 1837) ธอโรเดินทางกลับไปบ้านเกิดและคบหาเป็นมิตรกับ ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน กวีชื่อดังของอเมริกาซึ่งแนะนำงานเขียนของธอโรให้ได้รับการตีพิมพ์ ธอโรทำงานในโรงงานดินสอของบิดา และเป็นครูในโรงเรียนของพี่ชายอยู่ระยะหนึ่ง

ในระหว่างปี พ.ศ. 2388-2390 (ค.ศ. 1845 - 1847) ธอโรทดลองใช้ชีวิตเรียบง่ายในกระท่อมที่สร้างด้วยตนเองบนที่ดินของอีเมอร์สัน ริมบึงวอลเดน อันเป็นที่มาของงานเขียน Walden หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Life in the Woods ที่มีชื่อเสียง ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2397 (ค.ศ.1854)
ในระหว่างที่อาศัยที่บึงวอลเดนนั้นเขาปฏิเสธที่จะจ่ายภาษี (Poll Tax) ให้กับรัฐด้วยเหตุว่าไม่เห็นด้วยกับสงครามแย่งชิงดินแดนที่อเมริกากระทำต่อประเทศเม็กซิโก (Maxican War) ระหว่างปี พ.ศ. 2389 - 2391(ค.ศ. 1846 - 1848) และนโยบายเรื่องทาสในอเมริกา ธอโรถูกจับขังหนึ่งคืนและนำไปสู่ความเรียงเรื่อง "ต้านอำนาจรัฐ" หรือ "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)" ที่ได้เกริ่นนำไว้ในตอนต้น ในที่สุดเพื่อนๆของเขาต้องเป็นผู้ประกันเขาออกมาจากคุกและจ่ายค่าปรับทั้งหมดให้กับรัฐแทนตัวเขา จะเห็นได้ว่าต้นแบบอารยะขัดขืนโดยธอโรนั้นเมื่อเขาตั้งใจกระทำการละเมิดต่อกฎหมายเพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมที่จะปฎิบัติตามกฎหมายของรัฐหากแต่เขาก็ยอมรับผลของการละเมิดกฎหมายนั้นด้วยโดยไม่คิดต่อสู้หรือหลบหนี

ซึ่งความเรียง Civil Disobedience นี้ได้ส่งอิทธิพลต่อ มหาตมะ คานธี และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ในการดำเนินการทางการเมืองในยุคต่อมา โดยเฉพาะการอารยะขัดขืนตามวิถีของธอโรนี้เป็นไปเพื่อความถูกต้องซึ่งพ้องกับหลักการทำสัตยาเคราะห์ของคานธีที่เน้นย้ำเรื่องสันติและอหิงสานั่นเอง
ธอโรถือว่าเป็นปัจเจกชนที่ชอบทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาสนใจศึกษาธรรมชาติและทาน มังสวิรัติ ธอโรติดวัณโรค ตั้งแต่ พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) จนเสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862)

ที่มา:
1.Thoreau,HD 2003,Walden and Civil Disobedience, Barnes & Noble, New York
2.วิกิพีเดีย 2008, เฮนรี เดวิด ธอโร, accessed 5/11/2008, from

วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

คุณขอมา: ชีวประวัติโดยย่อของ "เทียนวรรรณ"

คำอธิบายเกี่ยวกับเทียนวรรณอย่างคร่าวๆในโลกออนไลน์ (วิกิพีเดีย ๒๕๕๑) ได้พูดถึง นามปากกา เทียนวรรณ หรือ ต.ว.ส. วัณณาโภ ว่าเป็นนามปากกาของ เทียน วัณณาโภ (พ.ศ. ๒๓๘๕ - พ.ศ. ๒๔๕๘) ซึ่งมีอาชีพทนายความ และเป็นนักคิดนักเขียนคนสำคัญ ที่มีบทความวิพากษ์ด้านนโยบายการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และด้านการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๖
จากหนังสือรวมชีวประวัติของเทียนวรรณเรียบเรียงโดยสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) และบทคัดย่อบางส่วนของหนังสือหนึ่งร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน (หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑) ได้บันทึกไว้ว่า .. เทียนวรรณ เดิม ชื่อ เทียน นามสกุล วัณณาโภ เกิดในปี ๒๓๘๕ ในปลายรัชกาลที่ ๓ ที่บางขุนเทียน มาจาก ตระกูลใหญ่ที่มีเลือดผสมระหว่างทหารกับพลเรือน เป็นคนที่มีความจำและไหวพริบดีมา แต่เด็ก ตอนเด็กได้เล่าเรียนที่บ้าน อายุ ๘ ขวบได้ไปเรียนหนังสือไทยกับหนังสือขอมกับ พระที่วัดโพธิ์ รวมทั้งได้เรียนวิชามวย และเวทมนตร์คาถาด้วย ตอนรุ่นหนุ่มเป็นนักเลง ประเภทมีศีลธรรม ไม่ข่มเหงผู้ใดก่อน พ่อของเทียนวรรณ เสียตั้งแต่ตอนเขาอายุ ๑๓ ปี และแม่ได้แต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นคนดีมีศีลธรรม ผู้ได้กล่อมเกลาให้เขามีนิสัยละ มุนละไมขึ้น ประสบการณ์ที่สำคัญคือ การที่เขาเริ่มทำงานค้าขายทางเรือถึงสวรรคโลกและ กำแพงเพชร ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ตอนอายุ ๑๙ ปีได้ทำงานเรือกำปั่น ได้ไปถึงซัวเถา ฮ่องกง เอ้หมึง และเซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา ๑๕ เดือน กลับมาได้ทั้งความรู้และเงินที่เก็บไว้ หลังจากนั้นเขาก็บวชที่วัดบวรนิเวศถึง ๔ พรรษา ได้เรียนทั้งพระธรรมวินัย และภาษาอังกฤษ ได้ศึกษาอยู่ท่ามกลางนักปราชญ์ เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา) และรัชกาลที่ ๔ สมัยที่ยังทรงผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศบ่อยครั้ง เขาลาสิกขาบท เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี และเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ ฟังข่าวสารการเมือง ซื้อและเช่าหนังสือ ใหม่ๆ มาอ่านเสมอ เมื่ออายุ ๒๖ ปี ได้ไปค้าขายถึงสิงคโปร์ หลังจากนั้นก็วิ่งค้าขายไปๆ มาๆ ตามหัวเมืองต่างๆ ของไทย และคบค้าสมาคมกับเจ้านายและผู้ลากมากดี ผู้พอใจที่ เห็นเขาเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความคิดใหม่ๆ
เทียนวรรณเริ่มเห็นปัญหาว่า การที่พวกเจ้านายและผู้ดีมีเมียมาก เป็นบ่อเกิดแห่งความทุจริต เพราะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก รวมทั้งคนแก่ที่มีเมียมาก ก็ไม่สามารถให้ความสุขภรรยาได้อย่างทั่วถึง
เทียนวรรณ มีภรรยาทั้งหมด ๓ คน แต่ก็มีครั้งละคน คือ หย่าหรือเลิกกับคน หนึ่งแล้วจึงมีคนถัดมา
เทียนวรรณเริ่มเขียนบทความแสดงความคิดเห็นให้ปรับปรุงราชการงาน เมือง ตอนที่เขาอายุ ๓๐ ปี โดยมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าหลายข้อ เช่น ให้เลิกทาส ให้เลิก การพนันบ่อนเบี้ย ให้ปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลและความไม่เป็นธรรม ให้มีสภาผู้ แทน บทความที่เขาเขียนบางครั้งไม่มีหนังสือพิมพ์ไหนลงให้ เขาก็จะยกให้ผู้มีสตางค์ พิมพ์เป็นหนังสือแจกงานศพบ้าง หรือพิมพ์แจกเอกบ้าง ในช่วงที่เขาไปอยู่จังหวัด ตราดและจันทบุรีกับภรรยาคนแรก เขาได้ศึกษากฎหมายด้วยตนเองอย่างจริงจัง และ กลับมาอยู่กรุงเทพตอนอายุ ๓๓ ปี และทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมาย รวมทั้งศึกษา ด้วยตนเอง อ่านหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษอย่างต่อเนื่องเขาเขียนทั้งบทความ, บันทึกประจำวัน, กาพย์กลอน รวมทั้งไปพูดแสดงความคิดเห็นทั้งตามวังเจ้านายและ ตามวัด
เขาเป็นคนแรกๆ ที่เห็นความสำคัญของผู้หญิงว่า รัฐบาลควรจะให้การศึกษาทัดเทียมกับชาย เขาทำงานเป็นทนายความแบบนักอุดมคติ ช่วยให้คนจนได้รับความยุติธรรม ตอนที่เทียนวรรณอายุ ๔๐ เขาถูกฟ้องร้อง กรณีเขียนฎีกาให้กับราษฎรผู้หนึ่ง และถูกตัดสินว่าหมิ่นตราพระราชสีห์ ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ หมิ่นประมาทเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรถูกเฆี่ยน ๕๐ ที และ ถูกขังคุกโดยไม่มีกำหนด
สงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) วิเคราะห์ว่าเทียนวรรณคงจะถูกผู้ใหญ่กลั่นแกล้ง เพราะเทียนวรรณเป็นคนปากโป้ง ชอบเปิดโปง ความชั่วของผู้อื่นอย่างไม่กลัวเกรงอิทธิพลใดๆ

ในช่วง ๒ ปีแรก เทียนวรรณถูกขังแบบใส่ขื่อคาครบห้า คือ ทั้งที่คอ มือ และเท้า ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับเขามาก แต่เขาก็ยังมีจิตใจ เข้มแข็ง อ่านและทำบันทึก เขียนหนังสือ เขาได้รายงานความทารุณในคุกให้ผู้ใหญ่ คือ กรมหลวงราชบุรีฯ ทราบ จนมีคำสั่งให้ปลดโซ่ที่คอออกจากนักโทษทุกคน หลังจากนั้นเขาก็มีโอกาสเขียนหนังสือ ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ส่งไปพิมพ์นอกคุก เขาต้องโทษจำคุกอยู่เกือบ ๑๗ ปี ได้พ้นโทษ เพราะการช่วยเหลือวิ่งเต้นของขุน หลวงพระยาไกรศรี (เปล่ง) ระหว่างที่ติดคุกเขียนหนังสือไว้ ๒๘ เรื่องด้วยกัน ทั้งเรื่องวิจารณ์ลัทธิเมืองขึ้นของฝรั่ง, เรื่องให้เปลี่ยนขนบธรรมเนียมบ้านเมือง และงานชิ้นอื่นๆ
หลังจากออกจากคุก เทียนวรรณอายุ ๕๘ แต่ยังมีไฟในการทำงานมีผู้อุปการะให้เทียนวรรณยืมเงินเปิดสำนักทนายความขึ้น รวมทั้งเปิดร้านขายยาอีกแผนกหนึ่งเพื่อหารายได้มาจุนเจือ ดำเนินอาชีพทนายได้ ๒ ปี พอปีที่ ๓ คือใน พ.ศ.๒๔๔๓ ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อว่า "ตุลวิภาคพจนกิจ" ซึ่งมีความหมายว่า หนังสือพิมพ์นี้มุ่งจะเสนอข่าวสารที่ตรงไปตรงมาประดุจตาชั่ง หนังสือ พิมพ์นี้อยู่ได้ ๖ ปีก็หยุดเพราะขาดทุน และเพราะเทียนวรรณเหนื่อยอ่อนลงเนื่อง จากอายุมาก (อายุประมาณ ๖๒-๖๓ ปี) แต่เขาก็พิมพ์หนังสือขึ้นอีกชุดหนึ่ง (รวม ๑๒ เล่ม) ให้ชื่อว่า "ศิริพจนภาค" เป็นการรวมงานวรรณกรรมที่เขาเขียนตั้งแต่ อายุ ๓๓ ปีเป็นต้นมา ทั้งบทความวิจารณ์การเมือง เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย, เรียกร้องให้เลิกทาส, โจมตีการทุจริตฉ้อฉลของข้าราชการ, เสนอโครงการ ๓๔ ข้อให้รัฐบาลปรับปรุงชาติ ซึ่งหลายข้อรัฐบาลก็มาทำในภายหลัง, โจมตีระบบมีเมียมาก, โจมตีการพนัน, ปลุกใจให้คนรักชาติ, เสนอแนะการปราบการทุจริตฉ้อโกงการปฏิรูประบบยุติธรรม, การวิจารณ์สังคม รวมทั้งการวิจารณ์วรรณกรรมไทย เรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
ในมุมมองของสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) อาจถือได้ว่าเทียนวรรณเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมคนแรกของสยามประเทศด้วย
เทียนวรรณนั้นเขียนบทความด้วยการใช้ถ้อยคำง่ายชัดเจน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างเช่นที่เขาเรียกว่า โรคของแผ่นดิน หรือโรคของประเทศราชการบ้านเมือง คือ เจ้านายเสนาบดี อธิบดี พนักงานทุกระดับ "ประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมาย ใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรม ทุจริตในใจตน มิได้เมตตาจิตแก่ผู้น้อย และเพื่อนมนุษย์.... มิได้มีหิริโอตตับปะ ธรรม เกรงบาปหรือกลัวกรรม มุ่งแต่จะหาลาภยศใส่ตนในทางทุจริต กลับ ความจริงให้เป็นเท็จ กลับความเท็จให้เป็นจริง"
ขณะเดียวกัน เทียนวรรณก็วิเคราะห์ โรคของสามัญชน อย่างวิพากษ์ วิจารณ์ตรงไปตรงมาเช่นกัน โดยเขาเขียนว่า "ฝูงราษฎรเป็นคนโง่เขลา ปราศจากสติปัญญาวิชาความรู้ มีสันดานหยาบช้าสามาน ประกอบการทุจริตชั่วร้ายต่างๆ เต็มไปด้วยการเล่น พะนันอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนาและบ้านเมืองของตน"
แนวคิดของเทียนวรรณในด้านต่างๆเท่าที่รวบรวมเป็นกลุ่มๆได้มีดังนี้ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕; หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑)
- ด้านนโยบายต่างประเทศ เขาแนะนำให้รัฐบาลไทยผูกมิตรไมตรีกับจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อต้านทานจักรพรรดินิยมฝรั่งเศส
- ด้านการเมือง เขาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย
- ด้านเศรษฐกิจ เขาเรียกร้องให้ยกเลิกบ่อนการพนัน ซึ่งเขาเห็นว่าทำให้พลเมืองโง่เขลา ถูกมอมเมา เกียจคร้าน และเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายอื่นๆ ตามมา และเสนอให้ เอาเงินหลวงออกให้ราษฎรกู้ไปทำทุน ส่งเสริมการตั้งโรงงาน การค้นคว้าทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการศึกษา เขาเสนอให้รัฐจัดการศึกษาให้ไพร่และสตรีอย่างเท่าเทียมกับผู้ดีและบุรุษ ชักชวนให้ผู้มีเงินหันมาสร้างโรงเรียนแทนวัด ต้านโครงสร้างสังคมที่เขาเห็นว่าต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อปราบการทุจริตฉ้อฉล การเล่นพรรคเล่นพวก และ ความไม่ยุติธรรม

ที่มา:
1. สุริยินทร์, ส ๒๔๙๕, เทียนวรรณ, รวมสาส์น, กรุงเทพฯ.
2. วิกิพีเดีย ๒๕๕๑, เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93
3. หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑, สังคมวิทยา มนุษยวิทยา ประวัติศาสตร์สังคม: เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://www.geocities.com/thaibooks_100/84.htm

คุณขอมา: ข่าวอัพเดทของเจ้าชายจิกมี .. เจ้าชายได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ภูฏานอย่างเป็นทางการแล้วจ้า :)

สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเจล วังชุก แห่งภูฏาน พระชนมายุ 28 พรรษา ทรงเข้าพิธีรับการสถาปนาขึ้นครองราชย์แล้ว โดยสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดา จิกมี ซิงเย วังชุก อดีตกษัตริย์ ที่ทรงประกาศสละราชสมบัติไปเมื่อ 2 ปีก่อน พิธีที่จัดขึ้นในครั้งนี้ มีเพียงพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เท่านั้นที่เข้าร่วมงาน แต่หลังจากนี้จะมีการจัดงานสมโภชน์อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 6 พฤศจิกายน ที่พระราชวังในกรุงทิมพู ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมเฉลิมฉลอง ซึ่งคาดว่า จะมีพสกนิกรหลั่งไหลมาร่วมถวายพระพรแด่กษัตริย์พระองค์ใหม่อย่างคับคั่งทั้งนี้
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการติติงวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ได้ และรัฐธรรมนูญกำหนดด้วยว่า กษัตริย์จะทรงครองราชย์ได้จนถึงพระชนมายุ 65 พรรษาเท่านั้น
พระองค์เคยเสด็จมาประเทศไทยหลายครั้ง รวมทั้งในคราวฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และทรงกลายเป็นพระราชวงศ์ที่อยู่ในการจับตามองที่สุดในการพระราชพิธีดังกล่าว เนื่องจากพระวรกายและพระพักตร์ที่หล่อเหลาแบบเดียวกับดาราภาพยนตร์เกาหลี ซึ่งอยู่ในกระแสความนิยมของชาวไทยในห้วงเวลาดังกล่าว

ที่มา: โพสทูเดย์ 2551,จิกมีขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ภูฏานแล้ว, accessed 3/11/2551, from
http://www.posttoday.com/breakingnews.php

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา

รายการคุณขอมา...อยากให้อับดุลค้นหาเรื่องเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาเมื่อปี พศ 2537 เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนในชาติเราสำเนียกและช่วยกันเฝ้าระวังไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นในภูมิภาคสาระขันธ์นี้...จัดให้ :-

จากข้อมูลของประเทศรวันดาที่ได้มีการรวบรวมไว้ ดูเหมือนข้อมูลเกี่ยวกับ "เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา" จะมีการเก็บรวบรวมไว้มากที่สุด โดยอ้างอิงจากสารานุกรมเสรี (วิกิพีเดีย 2008a) นิยามของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศนี้ ก็คือเหตุการณ์ที่ชนพื้นเมืองชาวตุดซี (Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู (Hutu) ถูกสังหารหมู่ไปประมาณ 800,000-1,071,000 คนในประเทศรวันดา โดยกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่คือกลุ่มทหารบ้านหัวรุนแรงชาวฮูตู ได้แก่กลุ่มอินเตราฮัมเว (Interahamwe เป็นภาษากินยาร์วันดาแปลว่า "ผู้ที่สู้ด้วยกัน") และกลุ่มอิมปูซูมูกัมบิ (Impuzamugambi แปลว่า "ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน") โดยจะมี 2 กลุ่มนี้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537 (1994)

ในทางภูมิศาสตร์ (วิกิพีเดีย 2008b) สาธารณรัฐรวันดา (Republic of Rwanda) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแต่อยู่ติดกับทะเลสาบเกรตเลกส์ (Great Lakes) ทางตะวันออกของประเทศ รวันดาเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ทางระหว่างตอนกลางและตะวันออกของทวีปแอฟริกา มีประชากรร่วม ๆ 8 ล้านคน
รวันดามีอาณาเขตติดต่อกับยูกันดาทางตอนเหนือ บุรุนดีทางตอนใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนถึงตะวันตก และแทนซาเนียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ไล่ขึ้นมาถึงทางตะวันออก รวันดามีลักษณะทางภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้สมญานามจากเบลเยียม เจ้าอาณานิคมเก่าว่าเป็น ดินแดนแห่งเขาพันลูก (Pays des Mille Collines เป็นภาษาฝรั่งเศส หรือ Igihugu cy'Imisozi Igihumbi เป็นภาษากินยาร์วันดา) รวันดายังถือเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในแอฟริกาส่วนภูมิภาค (ไม่นับเกาะเล็ก ๆ)

เศรษฐกิจของรวันดาล้วนมาจากการเกษตรกรรม แต่เกือบทั้งหมดเป็นเกษตรกรรมเพื่อการเลี้ยงชีพ มิใช่เพื่อการค้า ในปัจจุบันที่ความหนาแน่นและจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่คุณภาพดินที่เสื่อมลงและสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนทำให้รวันดาเป็นประเทศที่มีปัญหาร้ายแรงด้านการขาดสารอาหารของประชาชนที่เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวมถึงประสบกับปัญหาความยากจนอย่างต่อเนื่อง

ดังที่กล่าวมาแล้วว่าเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดของประเทศรวันดาในระดับสากลคือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทุตซีในปี พ.ศ. 2537 (1994) ซึ่งส่งผลให้ประชากรเกือบล้านคนต้องเสียชีวิตไป เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่เพียงเพราะจำนวนคนที่ถูกสังหารเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเวลาอันสั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าเหตุการณ์นี้ได้แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพขององค์การสหประชาชาติ (โดยเฉพาะสมาชิกสำคัญแห่งโลกตะวันตกคือสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส) ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แม้จะมีข่าวคราวมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม รวมไปถึงการนำเสนอข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายทารุณของการสังหารหมู่ กระนั้น ประเทศโลกที่หนึ่งส่วนใหญ่รวมไปถึงประเทศฝรั่งเศส, เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา กลับมีท่าทีนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยปฏิเสธที่จะออกมากระทำการแทรกแซง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่ ส่วนประเทศแคนาดายังคงทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบในรวันดาจนถึงทุกวันนี้

ก่อนหน้าที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น สหประชาชาติได้เริ่มต้นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศรวันดา (หรือ UNAMIR - United Nations Assistance Mission for Rwanda) ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2536 (1993) เพื่อช่วยลดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลรวันดา (ที่ประกอบไปด้วยชาวฮูตูเป็นส่วนใหญ่) กับกลุ่มกบฎชาวตุดซี หลังจากที่พันธไมตรีหรือข้อตกลงสันติภาพอะรูชา (Arusha Accords หรือ Arusha Peace Agreement) ได้ถูกลงนามในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ต่อมาสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ภารกิจสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2539 (1996) โดยก่อนหน้าที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะเกิดขึ้น รวมไปถึงช่วงระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติไม่อนุญาตให้ UNAMIR เข้าทำการแทรกแซงหรือใช้กำลังในระยะเวลาที่เร็วหรือมีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งการสังหารหมู่ในรวันดา แม้ว่า UNAMIR จะปรับขอบเขตอำนาจและกำลังพลของตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้น รวมถึงเมื่อสถานการณ์ในประเทศได้เปลี่ยนไปก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น กระนั้นนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ยังคงมีข้อจำกัดทางกระบวนการและขั้นตอนหลายอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้สหประชาชาติประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ให้เกิดขึ้น โดยผู้นำภารกิจของสหประชาชาติภารกิจนี้ก็คือพลโทโรมิโอ ดาลแลร์ (Roméo Dallaire) นายทหารชาวแคนาดา
หลายสัปดาห์ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มขึ้น สหประชาชาติไม่ได้ตอบสนองต่อรายงานเกี่ยวกับการสะสมอาวุธของทหารบ้านชาวฮูตู อีกทั้งยังปฏิเสธข้อเสนอให้ออกคำสั่งห้ามดักล่วงหน้า แม้ว่า พ.ท. ดาลแลร์จะทำการเตือนสหประชาชาติหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในช่วงเวลาก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นมาจนถึงตอนที่เหตุการณ์กำลังดำเนินอยู่ แต่ทางสหประชาชาติก็ยังคงยืนกรานให้ยึดตามกฎการปะทะแบบเดิม ซึ่งทำให้กองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติไม่สามารถที่จะทำการขัดขวางทหารบ้านฮูตูไม่ว่าในทางใดๆ แม้กระทั่งปลดอาวุธ ยกเว้นเป็นเหตุให้ทหารสหประชาชาติต้องป้องกันตัวเอง ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของสหประชาชาติที่ไม่สามารถทำการขัดขวางและยับยั้งการฆ่าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพพอได้นำไปสู่การถกประเด็นว่าใครเป็นฝ่ายผิดกันแน่ในเวทีสากล ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส (ในฐานะที่มีสัมพันธ์กับรวันดาผ่านทางองค์กรชุมชนผู้พูดภาษาฝรั่งเศสสากลหรือลาฟรังโคโฟนี - La Francophonie), ประเทศเบลเยียม (ในฐานะประเทศอดีตจ้าวอาณานิคมของรวันดา) และประเทศสหรัฐอเมริกา (ในฐานะตำรวจโลก) ซึ่งรวมไปถึงระดับบุคคลที่ทำการร่างนโยบายขึ้นมาได้แก่ชาค-โรเจอร์ส บูห์-บูห์ (Jacques-Roger Booh-Booh) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศแคเมอรูนและหนึ่งในผู้นำภารกิจ UNAMIR และประธานาธิบดีสหรัฐฯ บิล คลินตัน ที่กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จบลงในที่สุดเมื่อกลุ่มกบฎชาวเผ่าตุดซีชื่อว่าแนวร่วมผู้รักชาติชาวรวันดา (Rwandan Patriotic Front - RPF) ภายใต้การนำของผู้ก่อตั้ง พอล คากาเม ได้ทำการล้มล้างรัฐบาลชาวฮูตูและเข้ายึดอำนาจ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีผู้อพยพ และทหารบ้านฮูตูผู้พ่ายแพ้เป็นแสนๆ คนก็ได้หลบหนีเข้าไปในประเทศไซเรีย (Zaire ซึ่งก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน) ในภูมิภาคตะวันออกเนื่องจากกลัวการถูกล้างแค้นโดยชาวตุดซี หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังและความรุนแรงระหว่างสองชนเผ่านี้ก็ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาค โดยเป็นเหตุให้เกิดสงครามคองโกถึงสองครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2539 มาจนถึง พ.ศ. 2546 (1996-2003) ความชิงชังและโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วนสำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็นสงครามกลางเมืองในประเทศบุรุนดีตั้งแต่ พ.ศ. 2536 (1993) มาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 (2005) อีกด้วย

อ้างอิง:

1. วิกิพีเดีย 2008 a, เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา, accessed 3/11/2008, from

2. วิกิพีเดีย 2008 b, ประเทศรวันดา, accessed 3/11/2008, from