นับแต่วันที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 15 ธันวาคม 2551 ผมถือว่าวันนั้น ยุคสมัยของทักษิณได้สิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าในแวดวงการเมืองยังคงเชื่อมั่นว่า ทักษิณจะฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง เพราะยังได้รับความรักความศรัทธาจากพี่น้องประชาชน ในภาคเหนือ ภาคอิสาน ทั้งยังมีเครือข่าย ส.ส. เงินทุน และนักการเมืองอีกเกือบสองร้อยคนที่ยังยืนอยู่เคียงข้าง แต่โดยความเห็นส่วนตัวแล้วผมคิดว่าพ้นสมัยของทักษิณแล้ว และนับวันจะถอยล้าเลือนหายไปจากสังคมไทย ไทยรักไทย – พลังประชาชน – เพื่อไทย จะไม่ต่างไปจากพรรคที่มีอายุเป็นสิบปีและเลือนหายไปจากสังคมไทย (แม้จะได้รับการจัดตั้งขึ้นใหม่ในภายหลัง) เช่น พรรคกิจสังคม พรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคชาติพัฒนา
ตัวตน ร่องรอยของพรรคที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยคือ อะไร ?
พรรคไทยรักไทย เป็นพรรคการเมืองแรก ที่ได้รับการเลือกตั้งเกินครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ.2548 มีที่นั่งในสภาฯ 376 ที่นั่ง จากจำนวน 500 ที่นั่ง แต่วันที่โหวตเลือกนายกฯ มีเหลืออยู่เพียง 198 ซึ่งคาดว่าจะลดน้อยถอยลงไปตามลำดับวันเวลาตามธรรมชาติของการเป็นพรรคฝ่ายค้าน (โปรดดูตัวอย่างพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่เป็นฝ่ายค้าน)
ร่องรอยที่เป็นสัญลักษณ์ของระบอบทักษิณ จึงมีเพียงประชาชนที่ยังรักในตัวอดีตนายกรัฐมนตรีที่เคลื่อนไหวในนาม นปช. หรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า “กลุ่มคนเสื้อแดง” และนโยบายประชานิยมที่เชื่อว่าไม่นานนี้จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นนโยบายประชานิยม แบบพอเพียงในนามพรรคประชาธิปัตย์
สิ่งที่คงหลงเหลืออยู่จึงอาจมีเพียงนามธรรมในรูปความรัก ความศรัทธาต่อคนที่ชื่อทักษิณ เพราะการเคลื่อนไหวชุมนุมต่อไปนี้จะถูกเข้มงวด กวดขัน จับตามองจากสังคม และถูกสกัดกั้นจากฝ่ายความมั่นคงไม่ให้เกิดความไร้ระเบียบเหมือนดังการกระทำของ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ได้รับเป็นกรณียกเว้นพิเศษ ความแตกต่างของงบประมาณสนับสนุน การถูกสกัดกั้นจากหน่วยงานราชการ กฎหมายที่บังคับใช้อย่างไม่ผ่อนปรน และแนวร่วมของพันธมิตรที่จะคอยออกมาสกัดปราม เหล่านี้จะทำให้ นปช. หลบเงียบไปเป็นคลื่นใต้น้ำที่รอวันเกิดรอยเลื่อนแยกขึ้นอีกครั้ง ที่อาจไม่ใช่ในนามคนรักทักษิณ หรือกลุ่มคนสวมเสื้อแดง แต่เป็นในนามของการล้มล้างเปลี่ยนแปลง “ระบอบ” บางอย่าง
สัญลักษณ์ของ ไทยรักไทย ระบอบทักษิณ ในอนาคตอันใกล้จึงจะเหลือเพียง ตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น และยิ่งหากไม่สามารถแสวงหาช่องทางสื่อสารกับ “ประชาชนของเขา” จากนอกประเทศได้แล้ว ก็ยากยิ่งที่จะอาศัยพลังประชาชนเปลี่ยนแปลงการเมืองให้กลับเป็นวันของทักษิณ อีกครั้ง
ผมจึงเชื่อว่าวันนี้สังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่หลังยุคทักษิณแล้ว แต่สิ่งที่ทักษิณได้สร้างเอาไว้ยังคงอยู่เป็นแบบแผน บรรทัดฐานทางสังคม ไม่ต่างไปจากการทิ้งความเป็นอาณานิคมไว้ภายหลักการปลดปล่อยอาณานิคมของประเทศจักรวรรดิ (postcolonial[i]) สังคมไทยหลังยุคทักษิณได้ก้าวเข้าสู่ลักษณะดังต่อไปนี้
1. สังคมแห่งความแตกแยก
ประชาชนแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่ไร้การศึกษา ขาดความรู้ ยากจน ไม่ฉลาด หน้าตาไม่ดี และเป็นภาระ คนเหล่านี้คือคนที่เลือกทักษิณ และถูกใส่ฉลากให้ว่าเป็น “ลิงบาบูน” กับคนที่มีการศึกษาดี หน้าตาดี มีกำลังซื้อ เป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ เรียกตัวเองว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วม ซึ่งจะเป็นชนชั้นนำการเมืองไทยต่อไปในยุคหลังทักษิณ คนสองกลุ่มนี้จะขัดกันในผลประโยชน์จากนโยบาย ที่ฝ่ายสีเหลืองไม่ต้องการให้เกิดประชานิยมเพราะตนเองรู้สึกว่าเสียภาษีมากแต่เงินถูกนำมาให้กับคนที่เสียภาษีน้อย ขณะที่รัฐบาลยังจำเป็นต้องให้มีนโยบายแบบประชานิยมต่อไป เพื่อหวังดึงฐานคะแนนเสียงจากคนภาคเหนือ ภาคอิสาน คนในชนบท คนรากหญ้า ความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างความคิด “อนุรักษ์นิยมใหม่” (neoconservative) [ii] กับ “เสรีนิยมใหม่” (neoliberals)[iii] จะปะทะกันอย่างรุนแรง ต่อไปเราอาจไม่เพียงได้ยินแค่ “เบื่อม็อบพันธมิตร” แต่เราอาจได้ยินว่า “เกลียดม็อบเกษตรกร” และ “พวกเสื้อแดง” แทน
2. ฟื้นฟูประเทศโดยการทำลายระบอบทักษิณให้สิ้นซาก
ซากเดนของทุกสิ่งที่เป็นระบอบทักษิณ จะถูกเก็บกวาดล้างชำระ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยหากจะยังคงอยู่แต่จะถูกทำให้มี ส.ส. เหลืออยู่ในพรรคน้อยที่สุด ช่องทางการสื่อสารระหว่างทักษิณกับประชาชนของเขาจะถูกตัดขาด คนที่ทำงานให้กับทักษิณจะถูกขุดคุ้ย และค้นหาเรื่องราวมาดำเนินคดี เสื้อสีแดงจะกลายเป็นภัยร้ายแรงต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม และใครก็ตามที่เข้าไปข้องแวะกับระบอบทักษิณ จะกลายเป็นซาตานผู้ชั่วร้ายทำลายชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ต้องขจัดให้หมดไป การทำลายลงให้สิ้นซากนี้ จะไม่ใช่กระทำในลักษณะประกาศสงคราม แต่จะทำในนามการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในนามการเมืองใหม่ ในนามสันติ สมานฉันท์ ฟื้นฟูเยียวยาประเทศ ด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ โยกย้ายข้าราชการ และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ อันเป็นภารกิจเชี่ยวชาญของพรรคประชาธิปัตย์ที่มักจะเป็นผู้มาฟื้นฟูเยียวยาหลังวิกฤติทุกครั้ง (พฤษภาทมิฬ, วิกฤติเศรษฐกิจปี 40) และก็มักจะใช้เวลาเยียวยาจนเกือบครบเทอมหากไม่มีเรื่องทุจริตคอรัปชั่นเกิดขึ้น
3. รูปแบบใหม่ของอำนาจ
ภายใต้สิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ได้ปรากฏให้เห็นอำนาจแบบใหม่ที่ก้าวล้ำกว่าอำนาจแบบเดิม ๆ ที่มีมาในสังคมไทย แม้บุคคลผู้ใช้อำนาจจะเป็นคนเดิม แต่รูปแบบได้เปลี่ยนไปเป็นอำนาจที่มองไม่เห็นซึ่งสังคมไทยเรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” อำนาจใหม่เป็นอำนาจที่แทรกซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของคนไทย เป็นชีวอำนาจ (biopower) ที่แฝงฝังในมโนสำนึกซึ่งตอบสนองทางร่างกาย (responses) การกระทำในทันทีที่ได้รับสิ่งเร้า
การใช้อำนาจใหม่ไม่ได้กระทำผ่านตัวแทนดังเช่นในสมัยทักษิณ แต่เป็นการกระทำผ่านการตีความของสังคม (social interpretation) ซึ่งไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด หากแต่เป็นเรื่องควรหรือมิควร การส่งผ่านวาทกรรมของอำนาจรูปแบบใหม่มีลักษณะเป็นวาทกรรมที่คลุมเครือ เป็นอภิปรัชญา เป็นถ้อยความที่ตั้งอยู่ในความดี ความงาม และความจริง ไม่บ่งบอกว่าต้องการอะไร อย่างไร หากแต่แจกแจงหน้าที่ความรับผิดชอบของกลุ่มบุคคลกลุ่มต่างๆ ที่มีอำนาจจัดการทางสังคมในภาระหน้าที่ตามตำแหน่งและสถาบันที่สังกัด พร้อมกับการระบุถึงเป้าหมายและสิ่งที่ต้องการให้สังคมไทยพัฒนาไป
อำนาจใหม่นี้เป็นอำนาจผ่านกระบวนการตีความ และตีความซ้ำกระบวนการตีความ (reinterpretation of interpretation process) วาทะแห่งอำนาจจึงเป็นวาทะที่เลื่อนเคลื่อนไปได้อย่างไม่รู้จบเพราะเป็นการละเล่นเชิงอำนาจของการตีความที่ไม่มีโอกาสผิดพลาดได้ และตราบเท่าที่สังคมไทยยังประสบปัญหาแตกแยกขัดแย้งกระบวนการตีความก็จะดำเนินต่อไป ทำให้องค์อธิปัตย์สถาปนาตัวตนขึ้นเป็นหนึ่งเดียวแห่งอำนาจ อำนาจใหม่เป็นอำนาจที่กระทำโดยไม่กระทำ ดุจสภาวธรรมที่ตั้งอยู่นิ่งใสบริสุทธิ์ท่ามกลางความเคลื่อนไหว อันเป็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ได้รับมอบอำนาจที่น้อมนำสภาวธรรมนั้นเข้าไว้ในตน ผ่านการตีความที่ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ไม่ว่าจะผิดหรือถูกไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับว่าเหมาะสมและบังควรหรือไม่ ผู้น้อมรับธรรมเหล่านี้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในฐานะชนชั้นนำของสังคมไทย แต่เมื่อรับมาแล้วก่อนที่จะส่งผ่านมายังประชาชนนั้นได้ผ่านการตีความ และลดรูปย่อส่วนให้รูปธรรมที่เข้าใจได้โดยใช้คำที่คุ้นเคยสัมผัสได้และระลึกรู้ปฏิบัติตามได้
4. สังคมของผู้เชี่ยวชาญ
การส่งผ่านความหมาย ความต้องการ ทิศทางที่สังคมไทยควรจะ (ต้อง) เป็นไปนั้น ถูกกระทำโดยกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ เป็นการกระทำที่ผ่านการตีความสภาวะที่ส่งผ่านมาจากอำนาจใหม่เสมือนการได้รับโองการแห่งสวรรค์ เป็นเสียงกระซิบที่ไม่มีใครได้ยินได้ฟังด้วย (แม้จะได้ยินแต่ก็ไม่อาจตีความได้หากแต่ต้องเป็นหน้าที่หรือคนทรงวิญญาณซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชี้บอก) แต่ปรากฏดำรงอยู่ และนำความสงบสุขมาให้แก่มนุษย์ บรรดาผู้เชี่ยวชาญได้ยึดครองพื้นที่ของการตีความภายใต้ขอบเขตอำนาจแห่งตน โดยมีนัยว่า เขาเหล่านี้รอบรู้ มีประสบการณ์และมีบทบาทหน้าที่โดยตรงอย่างผู้ชำนาญการมากยิ่งกว่าชนกลุ่มใด ๆ ในสังคม การมอบความเชี่ยวชาญให้นี้ไม่เพียงมอบโดยการยอมรับของสังคม หากแต่เป็นการมอบโดยกฎหมาย ธรรมเนียมปฏิบัติ และความผูกพันใกล้ชิดกับอำนาจที่อยู่เหนือขึ้นไป กลุ่มทางสังคมที่จะสถาปนาความเชี่ยวชาญในยุคหลังทักษิณที่สำคัญได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์, ทหาร, ศาล, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแนวร่วม (ผ่านทางอดีตแกนนำ), สื่อมวลชน และนักวิชาการที่เลือกข้างถูก บรรดากลุ่มคนเหล่านี้จะมีสิทธิ์มีเสียงในสังคม ซึ่งประชาชนผู้ป่วยไข้ ไม่รู้ ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
5.ชนชั้นผู้ป่วยไข้
ชนชั้นผู้ป่วยไข้คือผู้ขาดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ต่อการเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า เป็นผู้ที่เจ็บ จน โง่ สร้างภาระ ดื้อดึง และไม่เชื่อฟังอำนาจ หากยอมรับเชื่อฟังอำนาจก็จะได้รับการดูแล บำบัด เยียวยา ด้วยงบประมาณที่หว่านทุ่มลงไปในรูปเงินช่วยเหลือ กู้ยืม คนเหล่านี้เป็นคนที่เปลี่ยนมาจาก คนรากหญ้า ในสมัยรัฐบาลทักษิณ เป็นคนส่วนใหญ่ใน 40 ล้านเสียง ที่อดีตนายกรัฐมนตรีอ้างความชอบธรรม และยังคงเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่นโยบายของทุกพรรคการเมืองช่วงการหาเสียงเลือกตั้งล้วนต้องเอาใจ เราปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นผลพวงที่ก่อกำเนิดขึ้นมานับแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ภายใต้โครงการชุดเอื้ออาทร และลงทะเบียนคนยากจน ที่มีคนรากหญ้ามาขอลงทะเบียนรับความช่วยเหลือมากกว่าจำนวนคนยากจนที่วัดได้จากเส้นความยากจนทางการ เขาเหล่านี้เป็นคนป่วยไข้ที่ต้องบำบัดรักษาและเชื่อฟังผู้เชี่ยวชาญ 3 สิ่งต่อไปนี้คือสิ่งที่ผู้ป่วยไข้ถูกบอกให้ปฏิบัติ 1.เศรษฐกิจพอเพียง 2.อยู่ภายใต้ความสมานฉันท์ คือไม่โต้แย้ง ไม่เห็นค้าน (รัฐ) ไม่ออกมาเคลื่อนไหว 3. “รักพ่อ” ทั้งสามสิ่งคือยาขนานวิเศษที่แก้ไขได้ทุกโรค และจะสร้างสังคมที่สันติสุขอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย อันแตกต่างจากยุคทักษิณเพียง 1.เศรษฐกิจรากหญ้า 2. อยู่ภายใต้ความสมานฉันท์ คือไม่โต้แย้ง ไม่เห็นค้าน (รัฐ) ไม่ออกมาเคลื่อนไหว 3. “รักทักษิณ” ซึ่งหากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วก็แทบจะไม่แตกต่างกันเลยระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เพราะคนเหล่านี้ก็ยังป่วยไข้และอยู่ในภาวะที่ต้องเยียวยารักษาต่อไป
6.อาการเสพติดของการเสพด่วน
คิดใหม่ทำใหม่ คิดเร็วทำเร็ว ทันสมัย ใหม่เสมอคือวัฒนธรรมที่รูปแบบการบริโภคของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และพรรคไทยรักไทยสร้างขึ้น การเปลี่ยนโปรโมชั่นใหม่ ๆ ทุก 3 เดือน โดยเปลี่ยนสูตรคำนวณการคิดค่าบริการใหม่ แต่ผลลัพธ์ของค่าบริการก็ไม่ต่างจากเดิม พร้อมไปกับการเพิ่มเติมความสามารถของโทรศัพท์มือถือ ทั้งการโหลดริงโทน โหลดเพลง ส่งภาพถ่าย ส่งข้อมูล ส่งคลิปวีดีโอ ฟังข่าว ดูดวง หาเพื่อน ชำระเงิน ชมรายการโทรทัศน์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การเสพย์การบริการเหล่านี้เกิดควบคู่ไปกับรูปแบบโทรศัพท์มือถือที่ออกรุ่นใหม่ ๆ เข้าสู่ท้องตลาดทุกเดือนกระตุ้นการบริโภคและความต้องการอย่างไม่สิ้นสุด แน่นอนว่าโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทดแทน กล้องถ่ายรูป เครื่องเล่นเสียงแบบพกพา กล้องถ่ายวิดีโอ เครื่องรับโทรทัศน์ ได้สมบูรณ์ มันทำหน้าที่เพียงให้ผู้ครอบครองเสพความบันเทิง รื่นเริง ได้อย่างรวดเร็วทันใจ ในทุกที่ทุกเวลา แบบชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อรอเสพสิ่งใหม่ๆ ที่จะถูกประดิษฐ์ขึ้น
นโยบายเป็นชุดในแบบ โครงการเอื้ออาทรที่มีทั้งบ้าน แท็กซี่ คอมพิวเตอร์ จักรยาน นักบิน แอร์โฮสเตส ชุดนโยบายประกาศสงครามยาเสพติดที่รวมการเข้าบำบัดรักษา การปราบปรามตัดตอน การปราบผู้มีอิทธิพล หรือชุดขจัดความยากจนที่เพิ่มช่องทางการกู้เงินอีกหลากหลาย ซึ่งแข่งขันกันผลิตเป็นนโยบายย่อยในชุดนโยบายใหญ่ก็ไม่ต่างกับโปรโมชั่นของบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ คือโอกาสในการช่วงชิงความได้เปรียบ และเรียกคะแนนกลับคืนมาของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ต้องเร่งผลิตนโยบายสนองตอบต่อการเสพย์ติดการเมืองของ สังคมที่ป่วยไข้จากอาการเสพติดการเมืองที่ต้องการความเร่งด่วนรวดเร็วและรอไม่ได้
สังคมเสพด่วนจะคอยเรียกร้อง และเคลื่อนไหว เพื่อให้ฝ่ายการเมืองเร่งสนองตอบต่อการบริโภคที่เคยได้รับแบบทันใจ แนวร่วมพันธมิตรจะเป็นรัฐบาลบนท้องถนนคู่ขนานอยู่ใกล้ ๆ รั้วทำเนียบ ที่มีอำนาจกำกับได้มากกว่าคณะรัฐมนตรีเงาของพรรคประชาธิปัตย์เดิมที่เคยมีมา
สรุป
แม้ว่าอำนาจทักษิณจะค่อย ๆ หมดไป ในยุคหลังทักษิณ แต่ยุคทักษิณได้สร้างระบบการเมือง สังคมขึ้นใหม่ ที่ก้าวกระโดด เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงจากขุนนาง ศักดินา พ่อขุน ทหาร รัฐข้าราชการ และพรรคแนวอนุรักษ์นิยมอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสื่อมอำนาจลงไป ช่วงเวลา 6 ปี ที่ทักษิณเรืองอำนาจ ได้ส่งผลเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยอย่างรวดเร็ว และแฝงฝังเป็นชีวอำนาจ ที่แม้ทักษิณ และระบอบทักษิณจะถูกทำลายไป แต่สิ่งที่ทักษิณได้สร้างไว้จะยังคงอยู่เพราะมันได้แฝงฝังเข้าสู่โครงสร้างทางสังคมที่ รอวันเติบโต ปฏิวัติถอนรากถอนโคน ขจัดระบอบการเมืองเดิม (ใหม่) ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำลายระบอบทักษิณรื้อล้าง และรุนแรงเพียงใด ก็ยิ่งจะทำให้สังคมไทยก้าวเข้าสู่ความโกรธแค้นชิงชังระหว่างคนสองกลุ่มมากขึ้นเพียงนั้น ที่น่าเป็นห่วงคือสถานการณ์อาจก้าวไปไกลเกินกว่าความขัดแย้งระหว่างคนรักกับคนเกลียดทักษิณ แต่เป็นความขัดแย้งของความเชื่อทางการเมืองและสภาวะธรรมชาติ (natural state)[iv] ของความเป็นมนุษย์แทน
เชิงอรรถ
[i] แนวคิดกลุ่มหลังอาณานิคม (post colonial) มองว่าประเทศอดีตอาณานิคมยังคงต้องพึ่งพา และยอมรับภาษา วัฒนธรรม รูปแบบวิธีคิดแบบตะวันตก ซึ่งยังครอบงำสังคมอยู่แม้ว่าจะได้รับการปลดปล่อยจากตะวันตกแล้ว ดังนี้จึงต้องทำลายสิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้หมดสิ้นเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการสร้างความเป็นตัวของตัวเอง
[ii] อนุรักษ์นิยมใหม่ เป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับ เสรีนิยมใหม่ ในที่นี้หมายถึงการกลับคืนสู่การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ การปลุกเร้าชาตินิยม และสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันหลักที่เก่าแก่ ความเข้มงวดของการบังคับใช้กฎหมายเพื่อกลับไปสู่สังคมที่มีคุณธรรม จริยธรรม ขจัดความฟุ้มเฟ้อฟุ่มเฟือย เปลี่ยนฉลากเศรษฐกิจทุนนิยม (ทุนสามานย์) มาสู่เศรษฐกิจพอเพียง (ทุนศักดิ์สิทธิ์)
[iii] เสรีนิยมใหม่ ที่ใช้ในสมัยทักษิณ คือการเปิดประเทศต้อนรับการค้าการลงทุน ลดบทบาทของรัฐลง เพิ่มบทบาทของเอกชนมากขึ้น เน้นการแข่งขันเสรี แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ทำข้อตกลงการค้าเสรีแบบทวิภาคี ขณะเดียวกันก็จัดสรรงบประมาณลงไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เรียกว่าคนรากหญ้าโดยตรงโดยลดขั้นตอนที่ต้องผ่านระบบราชการ ฟื้นฟูกระตุ้นให้เกิดการบริโภค เพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
[iv] โปรดดูความแตกต่างในสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ระหว่าง John Locke และ Thomas Hobbes
ที่มา:
ประชาไท 2551, หลังยุคทักษิณ (Post Thaksin), accessed 21/12/2551, from http://www.prachatai.com/05web/th/home/14918
วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2551
บ้านโฮมฮัก..อบอุ่นด้วยรัก แต่ แร้นแค้น
"บ้าน โฮมฮัก" เป็นบ้านแห่งความรักของเด็ก ๆ นับร้อยชีวิตที่มาอาศัยพักพิงในยามที่ไม่เหลือใคร เด็กๆ ที่นี่มีทั้งเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอดส์จากพ่อแม่ เด็กกำพร้าไม่ติดเชื้อแต่ถูกชุมชนผลักไสด้วยความรังเกียจ เด็กที่พ่อแม่มีปัญหาไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เด็กที่มีปัญหายาเสพติด เด็กบางคนมาด้วยหัวใจที่แตกสลายพร้อมกับร่างกายที่บอบช้ำจากการกระทำ ทารุณกรรมของผู้ใหญ่ เรื่องราวของเด็กบางคนดั่งนิยายที่กรีดกระชากใจผู้ที่ได้รับรู้
เด็กที่นี่มีทั้งหมด 104 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 วันไปจนถึง 20 ปี บางรายถูกพ่อแม่เร่ขายให้ไปเป็นขอทาน บางรายกำลังถูกขายไปเป็นหญิง*** และอีกหลายกรณีที่สะเทือนใจ อาทิกรณีของน้องส้ม (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 3 ขวบ แววตาสดใสน่ารัก แต่โดนผู้ใหญ่ใจโหดร้ายป้ายบาดแผลทั้งร่ายกายและจิตใจให้เธอด้วยการข่มขืน เธอมาในสภาพอวัยวะเพศฉีกขาด จิตใจบอบช้ำ ซ้ำร้ายเธอติดเชื้อเอดส์ หรือ กรณีของน้องโฟร์ (นามสมมุติ) พ่อแม่เสียชีวิตเพราะเอดส์ เธอเองก็ได้รับเชื้อเช่นกัน บ้านเธอยากจน ยามหิวโหยก็เคี้ยวข้าวสารประทังชีวิต เพราะไม่มีใครดูแล มีวัดใกล้บ้านเธอจึงไปขอเศษข้าวเศษแกงประทังชีวิต แต่ซ้ำร้ายโดนพระใจโฉดข่มขืน ทุกวันนี้ร่างกายเธอแคระแกรนเพราะขาดสารอาหาร และเอดส์ทำให้เธอมีอาการชักหลายครั้ง จนมีผลทางสมองทำให้เธอพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน"แม่ ต้อย" ของเด็ก ๆ หรือ สุธาสินี น้อยอินทร์ หญิงเหล็กหัวใจแกร่งที่มีความตั้งใจงานเพื่อสังคมมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียน จบ จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็ก โดยไม่รับเงินเดือน จน กระทั่งมาตั้ง "มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน" อยู่ที่เลขที่ 3 หมู่ 12 บ้านประชาสรรค์ ต.ตาดทอง อ.เมือง ยโสธร โทร 045-722-241
แม่ต้อยก่อตั้งบ้านโฮมฮักมา 20 กว่าปีแล้ว แต่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นพินัยกรรมเพื่อความอยู่รอดของเด็กๆเมื่อเธอต้องจากไป ทรัพย์สินทั้งหมด บ้าน รถ ที่ดิน มรดก ของพ่อแม่ก็ขายหมดมาเป็นค่ายา ค่าอาหาร ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเด็ก ๆ ที่สูงถึงเดือนละ 4-5 แสนบาท สุดท้ายแม้กระทั่งสร้อยที่ใส่ติดคอยังต้องขาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ ของเธอก่อนเมื่อเปิดเทอมแม่ต้อย เล่าว่า บ้านโฮมฮักเป็นบ้านหลังที่อบอุ่นเพื่อเด็ก ๆ ที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิง เราอยู่กันด้วยความรัก แต่แร้นแค้น ปัจจุบันขายสมบัติจนหมดเกลี้ยงตัว แม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาแ?่ก็ไม่พอ เด็ก ๆ ที่บ้านโฮมฮักต้องช่วยเหลือกัน แบบพี่ดูแลน้อง ปลูกผัก หาแมลงกินประทังชีวิต แต่ด้วยความแห้งแล้งก็ยากลำบากเหลือเกิน แค่น้ำใช้อาบทั้งบ้านก็ไม่พอ จะเอาน้ำที่ไหนไปรดผัก แมลงที่หาได้ต้องเอาไปคั่วแล้วป่น โรยข้าวเพื่อให้พอกินกันทั้งบ้าน เด็กก็มีแต่ตัวเล็ก ๆ บางส่วนก็ป่วย บางส่วนไปโรงเรียน ที่โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องดูแลน้องตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และบางคนก็ต้องพยาบาลน้องๆ ที่เจ็บป่วย" ที่น่าเศร้าใจคือสังคมยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เมื่อส่งเด็กไปโรงเรียนต้องหาโรงเรียนที่ไกลออกไป บางครั้งเมื่อรู้ว่าเด็กมาจากที่นี่ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ประท้วงให้ไล่เด็กออก เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจว่าไม่สามารถติดเชื้อจากการอยู่ร่วมกัน แต่ติดทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ทำให้ไม่เข้าใจเด็กเหล่านี้ว่าป่วยแค่ร่างกายแต่ยังมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ร้องไห้ได้เหมือนกับเรา เด็กเหล่านี้โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้ ขนาดเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจจะเผาในวัดยังไม่ได้ ชาวบ้านกลัวขี้เถ้าฟุ้งไปในอากาศตกหลังคาบ้านแล้วจะติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน " แม่ต้อย เล่าทั้งน้ำตา
มี เด็กระยะสุดท้ายที่แพทย์พิพากษาว่า อยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน หรือ 2 เดือน กับเด็กที่แพทย์หยุดยา เพราะดื้อยาแล้ว ส่งมาอยู่รอความตายที่นี่ แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศที่ดูแลกันเหมือนพี่น้อง เด็ก ๆ หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดที่แพทย์บอก เช่น น้องก้อง (นามสมมุติ) มาตอนอายุ 8 เดือน ซึ่งหมอไม่รักษาแล้ว เพราะเชื่อว่าอยู่ได้อีก 2 เดือน แต่ตอนนี้น้องก้องสุขภาพแข็งแรงดี อายุ 12 ขวบแล้ว ช่วยพี่ๆ รดน้ำผักทุกวันแต่ตอนนี้ผักปลูกได้น้อย แมลงหาจนไม่มีให้หาแล้ว ข้าวกินได้ครึ่งท้องเพื่อแบ่งอีกครึ่งให้น้อง ๆ ซ้ำร้ายแม่ต้อยของเด็กกำลังป่วยด้วย "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" ซึ่ง หมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน แต่หัวใจแม่เกินร้อยที่เธอมอบให้เด็กๆ ทำให้เธอสู้ บางคืนเธอถูกรุมเร้าด้วยอาการปวดที่ไม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก พอ ช่วงกลางคืนถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกออกมาเดิน หาก ใครไปบ้านโฮมฮักไม่รู้คนไหนแม่ต้อยละก็ ให้สังเกตที่ข้อเท้าจะมีกระดิ่งเป็นลูกกระพรวนห้อยไว้ เพราะยามเธอออกมาเดิน เด็ก ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ไม่กลัวคิดว่าเป็นผี ...แต่ จะมีวันไหนที่แม่ต้อยไม่ลุกออกมาเดินอีกแล้วก็ไม่รู้ !?! แล้วเด็ก ๆ จะอยู่กันได้อย่างไร ต้องกำพร้าครั้งที่สองในชีวิตกันอีกแล้วหรือ ?ปัจจุบันบ้านโฮมฮักกำลังประสบภาวะขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างหนัก และยังขาดครูพี่เลี้ยง ขาดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ทยอยถอนตัวออกไป เราลองมาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ให้บ้านโฮมฮักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนเกิน เป็นส่วนที่ต้องกันไว้ให้อยู่อีกโลก เป็นอีกชนชั้นของสังคม ก็น่าจะมองกันใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็ก เป็นชีวิตที่ไร้เดียงสา แววตาบริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ เด็กน้อยเหล่านี้เกิดมาจากปัญหาที่พวกผู้ใหญ่สร้างขึ้นทั้งนั้นถ้า หากใครได้ไปสัมผัสเยี่ยมเยือน เด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก จะเห็นแววตาที่สดใส ร่าเริง ทุกคนจะดีใจที่มีพี่ๆ ไปเยี่ยม ยิ่งถ้าไปเล่นไปสัมผัสเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจิตกุศล ด้วยความรักก็เหมือนได้ต่อเติมชีวิตอันสดใส จากเด็กที่ไม่ลุกเดิน ซึมเศร้าเหม่อลอย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนจะดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ มีรอยยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีใครไปเยี่ยมเยือน"พี่ ๆ จะกลับมาหาพวกหนูกันอีกมั๊ยคะ""พี่หนูอยากได้เสื้อสีแดงไว้ใส่ หนูจะได้ใส่ก่อนตายมั๊ยคะ" และ อีกมากมายคำพูดอันเสียดแทงหัวใจพี่ๆ ทุกคน อยากให้สังคมได้รับรู้ ก่อนจากกันโบกมือลาด้วยน้ำตา และแววตาของเด็ก ๆ ที่มองรถจนลับตาพร้อมกับความหวังว่า จะมีใครมาเยี่ยมเยือนและนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นกันอีกบ้าง…
สำหรับผู้ มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยเหลือเด็ก ๆ โอนเงินไปได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขายโสธร
ชื่อบัญชี มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน เลขที่ 561-2-21187-7
หรือจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน ของเล่น และสิ่งจำเป็นได้ตามจิตศรัทธาเป็นของใหม่หรือของใช้แล้วก็ได้ เพราะของที่ท่านไม่ใช้แล้วยังมีค่ากับเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างมาก
ที่มา:
เป็น forward email มาจากผู้หวังดี .. ผมเชื่อในเจตนาดีของเขา
ผมจึงนำมาpostให้อ่านกัน..ใครนึกถึง "บ้านโฮมฮัก" และ "แม่ต้อย" ไม่ออก .. จำโฆษณาที่คุณเคยซึ้งได้มั้ย ? .. กับโฆษณาไทยประกันชีวิต
.. นั่นแหละ ..แม่ต้อย (ตัวจริง) กำลังจะจากไปในเร็วๆนี้แล้ว และ บ้านโฮมฮักก็อาจจะถึงคราวอวสานเช่นกัน .. พวกเราอาจจะพอช่วยได้ ถ้าช่วยได้ก็รีบให้ความช่วยเหลือพวกเขาด่วนเลยนะครับ .. อย่ารอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เด็กที่นี่มีทั้งหมด 104 ชีวิต ตั้งแต่อายุ 4 วันไปจนถึง 20 ปี บางรายถูกพ่อแม่เร่ขายให้ไปเป็นขอทาน บางรายกำลังถูกขายไปเป็นหญิง*** และอีกหลายกรณีที่สะเทือนใจ อาทิกรณีของน้องส้ม (นามสมมติ) เด็กหญิงวัย 3 ขวบ แววตาสดใสน่ารัก แต่โดนผู้ใหญ่ใจโหดร้ายป้ายบาดแผลทั้งร่ายกายและจิตใจให้เธอด้วยการข่มขืน เธอมาในสภาพอวัยวะเพศฉีกขาด จิตใจบอบช้ำ ซ้ำร้ายเธอติดเชื้อเอดส์ หรือ กรณีของน้องโฟร์ (นามสมมุติ) พ่อแม่เสียชีวิตเพราะเอดส์ เธอเองก็ได้รับเชื้อเช่นกัน บ้านเธอยากจน ยามหิวโหยก็เคี้ยวข้าวสารประทังชีวิต เพราะไม่มีใครดูแล มีวัดใกล้บ้านเธอจึงไปขอเศษข้าวเศษแกงประทังชีวิต แต่ซ้ำร้ายโดนพระใจโฉดข่มขืน ทุกวันนี้ร่างกายเธอแคระแกรนเพราะขาดสารอาหาร และเอดส์ทำให้เธอมีอาการชักหลายครั้ง จนมีผลทางสมองทำให้เธอพัฒนาการช้ากว่าเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน"แม่ ต้อย" ของเด็ก ๆ หรือ สุธาสินี น้อยอินทร์ หญิงเหล็กหัวใจแกร่งที่มีความตั้งใจงานเพื่อสังคมมาโดยตลอดนับตั้งแต่เรียน จบ จากจุดเริ่มต้นที่ได้ทำงานเกี่ยวกับการดูแลเด็ก โดยไม่รับเงินเดือน จน กระทั่งมาตั้ง "มูลนิธิ สุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน" อยู่ที่เลขที่ 3 หมู่ 12 บ้านประชาสรรค์ ต.ตาดทอง อ.เมือง ยโสธร โทร 045-722-241
แม่ต้อยก่อตั้งบ้านโฮมฮักมา 20 กว่าปีแล้ว แต่จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เป็นพินัยกรรมเพื่อความอยู่รอดของเด็กๆเมื่อเธอต้องจากไป ทรัพย์สินทั้งหมด บ้าน รถ ที่ดิน มรดก ของพ่อแม่ก็ขายหมดมาเป็นค่ายา ค่าอาหาร ค่าเทอม ค่าน้ำ ค่าไฟ ของเด็ก ๆ ที่สูงถึงเดือนละ 4-5 แสนบาท สุดท้ายแม้กระทั่งสร้อยที่ใส่ติดคอยังต้องขาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้เด็กๆ ซึ่งเปรียบเสมือนลูกๆ ของเธอก่อนเมื่อเปิดเทอมแม่ต้อย เล่าว่า บ้านโฮมฮักเป็นบ้านหลังที่อบอุ่นเพื่อเด็ก ๆ ที่ยากไร้ ขาดที่พึ่งพิง เราอยู่กันด้วยความรัก แต่แร้นแค้น ปัจจุบันขายสมบัติจนหมดเกลี้ยงตัว แม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาแ?่ก็ไม่พอ เด็ก ๆ ที่บ้านโฮมฮักต้องช่วยเหลือกัน แบบพี่ดูแลน้อง ปลูกผัก หาแมลงกินประทังชีวิต แต่ด้วยความแห้งแล้งก็ยากลำบากเหลือเกิน แค่น้ำใช้อาบทั้งบ้านก็ไม่พอ จะเอาน้ำที่ไหนไปรดผัก แมลงที่หาได้ต้องเอาไปคั่วแล้วป่น โรยข้าวเพื่อให้พอกินกันทั้งบ้าน เด็กก็มีแต่ตัวเล็ก ๆ บางส่วนก็ป่วย บางส่วนไปโรงเรียน ที่โตขึ้นมาหน่อยก็ต้องดูแลน้องตัวเล็ก ๆ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และบางคนก็ต้องพยาบาลน้องๆ ที่เจ็บป่วย" ที่น่าเศร้าใจคือสังคมยังมีการเลือกปฏิบัติและอคติต่อผู้ติดเชื้อเอดส์ เมื่อส่งเด็กไปโรงเรียนต้องหาโรงเรียนที่ไกลออกไป บางครั้งเมื่อรู้ว่าเด็กมาจากที่นี่ พ่อแม่ ผู้ปกครองก็ประท้วงให้ไล่เด็กออก เพราะสังคมยังขาดความเข้าใจว่าไม่สามารถติดเชื้อจากการอยู่ร่วมกัน แต่ติดทางเลือดและการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น ทำให้ไม่เข้าใจเด็กเหล่านี้ว่าป่วยแค่ร่างกายแต่ยังมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด ร้องไห้ได้เหมือนกับเรา เด็กเหล่านี้โดนมองเหมือนเป็นตัวประหลาดที่ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าใกล้ ขนาดเหลือแต่ร่างไร้ลมหายใจจะเผาในวัดยังไม่ได้ ชาวบ้านกลัวขี้เถ้าฟุ้งไปในอากาศตกหลังคาบ้านแล้วจะติดเอดส์กันทั้งหมู่บ้าน " แม่ต้อย เล่าทั้งน้ำตา
มี เด็กระยะสุดท้ายที่แพทย์พิพากษาว่า อยู่ได้อีกไม่ถึงเดือน หรือ 2 เดือน กับเด็กที่แพทย์หยุดยา เพราะดื้อยาแล้ว ส่งมาอยู่รอความตายที่นี่ แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น และบรรยากาศที่ดูแลกันเหมือนพี่น้อง เด็ก ๆ หลายคนกลับมีชีวิตอยู่ได้เกินกำหนดที่แพทย์บอก เช่น น้องก้อง (นามสมมุติ) มาตอนอายุ 8 เดือน ซึ่งหมอไม่รักษาแล้ว เพราะเชื่อว่าอยู่ได้อีก 2 เดือน แต่ตอนนี้น้องก้องสุขภาพแข็งแรงดี อายุ 12 ขวบแล้ว ช่วยพี่ๆ รดน้ำผักทุกวันแต่ตอนนี้ผักปลูกได้น้อย แมลงหาจนไม่มีให้หาแล้ว ข้าวกินได้ครึ่งท้องเพื่อแบ่งอีกครึ่งให้น้อง ๆ ซ้ำร้ายแม่ต้อยของเด็กกำลังป่วยด้วย "มะเร็งลำไส้ระยะสุดท้าย" ซึ่ง หมอบอกว่าเธอจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 6 เดือน แต่หัวใจแม่เกินร้อยที่เธอมอบให้เด็กๆ ทำให้เธอสู้ บางคืนเธอถูกรุมเร้าด้วยอาการปวดที่ไม่ได้พักผ่อนจากการทำงานหนัก พอ ช่วงกลางคืนถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกออกมาเดิน หาก ใครไปบ้านโฮมฮักไม่รู้คนไหนแม่ต้อยละก็ ให้สังเกตที่ข้อเท้าจะมีกระดิ่งเป็นลูกกระพรวนห้อยไว้ เพราะยามเธอออกมาเดิน เด็ก ๆ ได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้ไม่กลัวคิดว่าเป็นผี ...แต่ จะมีวันไหนที่แม่ต้อยไม่ลุกออกมาเดินอีกแล้วก็ไม่รู้ !?! แล้วเด็ก ๆ จะอยู่กันได้อย่างไร ต้องกำพร้าครั้งที่สองในชีวิตกันอีกแล้วหรือ ?ปัจจุบันบ้านโฮมฮักกำลังประสบภาวะขาดแคลนทุนทรัพย์ อย่างหนัก และยังขาดครูพี่เลี้ยง ขาดเจ้าหน้าที่อาสาสมัครที่ทยอยถอนตัวออกไป เราลองมาช่วยกันสร้างปาฏิหาริย์ให้บ้านโฮมฮักเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ถูกทอดทิ้ง ใครที่เคยคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นส่วนเกิน เป็นส่วนที่ต้องกันไว้ให้อยู่อีกโลก เป็นอีกชนชั้นของสังคม ก็น่าจะมองกันใหม่ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็ก เป็นชีวิตที่ไร้เดียงสา แววตาบริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่ยัดเยียดให้ เด็กน้อยเหล่านี้เกิดมาจากปัญหาที่พวกผู้ใหญ่สร้างขึ้นทั้งนั้นถ้า หากใครได้ไปสัมผัสเยี่ยมเยือน เด็กๆ ที่บ้านโฮมฮัก จะเห็นแววตาที่สดใส ร่าเริง ทุกคนจะดีใจที่มีพี่ๆ ไปเยี่ยม ยิ่งถ้าไปเล่นไปสัมผัสเด็ก ๆ เหล่านั้นด้วยจิตกุศล ด้วยความรักก็เหมือนได้ต่อเติมชีวิตอันสดใส จากเด็กที่ไม่ลุกเดิน ซึมเศร้าเหม่อลอย ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม เมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนจะดีใจ ลุกขึ้นมาต้อนรับ มีรอยยิ้ม เพราะนานมากแล้วที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ค่อยมีใครไปเยี่ยมเยือน"พี่ ๆ จะกลับมาหาพวกหนูกันอีกมั๊ยคะ""พี่หนูอยากได้เสื้อสีแดงไว้ใส่ หนูจะได้ใส่ก่อนตายมั๊ยคะ" และ อีกมากมายคำพูดอันเสียดแทงหัวใจพี่ๆ ทุกคน อยากให้สังคมได้รับรู้ ก่อนจากกันโบกมือลาด้วยน้ำตา และแววตาของเด็ก ๆ ที่มองรถจนลับตาพร้อมกับความหวังว่า จะมีใครมาเยี่ยมเยือนและนึกถึงพวกเขาเหล่านั้นกันอีกบ้าง…
สำหรับผู้ มีจิตศรัทธาบริจาคช่วยเหลือเด็ก ๆ โอนเงินไปได้ที่
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขายโสธร
ชื่อบัญชี มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ เพื่อเด็กและเยาวชน เลขที่ 561-2-21187-7
หรือจะบริจาคเสื้อผ้า หนังสือการ์ตูน หนังสือเรียน ของเล่น และสิ่งจำเป็นได้ตามจิตศรัทธาเป็นของใหม่หรือของใช้แล้วก็ได้ เพราะของที่ท่านไม่ใช้แล้วยังมีค่ากับเด็ก ๆ เหล่านี้อย่างมาก
ที่มา:
เป็น forward email มาจากผู้หวังดี .. ผมเชื่อในเจตนาดีของเขา
ผมจึงนำมาpostให้อ่านกัน..ใครนึกถึง "บ้านโฮมฮัก" และ "แม่ต้อย" ไม่ออก .. จำโฆษณาที่คุณเคยซึ้งได้มั้ย ? .. กับโฆษณาไทยประกันชีวิต
.. นั่นแหละ ..แม่ต้อย (ตัวจริง) กำลังจะจากไปในเร็วๆนี้แล้ว และ บ้านโฮมฮักก็อาจจะถึงคราวอวสานเช่นกัน .. พวกเราอาจจะพอช่วยได้ ถ้าช่วยได้ก็รีบให้ความช่วยเหลือพวกเขาด่วนเลยนะครับ .. อย่ารอช้าที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ข่าวประชาสัมพันธ์: สวนสัตว์เชียงใหม่เชิญชวนประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาล่า ชิงรางวัลเงินสด 10,000 บาท

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 17 ธ.ค. ที่ส่วนจัดแสดงหมีโคอาล่า สวนสัตว์เชียงใหม่ นายโสภณ ดำนุ้ย ผอ.องค์การสวนสัตว์ ร่วมกับ นายธนภัทร พงษ์ภมร ผอ.สวนสัตว์เชียงใหม่ นายนิพนธ์ วิชัยรัตน์ ผู้ช่วย ผอ.นครราชสีมา ช่วยราชการที่สวนสัตว์เชียงใหม่ แถลงข่าวว่า
ขณะนี้ทางสวนสัตว์เชียงใหม่ได้สมาชิกใหม่เป็นลูกหมีโคอาล่าซึ่งกำเนิดจากพ่อไบรอันกับแม่โคโค่ เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะนี้มีสุขภาพแข็งแรง สามารถเลี้ยงได้เองตามธรรมชาติและออกจากถุงหน้าท้องของแม่แล้ว พบว่าเป็นลูกหมีเพศเมีย โดยประชาชนที่มาเที่ยวชมสามารถเข้าชมลูกหมีโคอาล่าได้
ทางสวนสัตว์จึงได้จัดประกวดตั้งชื่อลูกโคอาล่า โดยตั้งเงินรางวัล 10,000 บาท
ผู้สนใจสามารถส่งชื่อเข้าประกวดได้ทางเว็บไซต์ http://www.chiangmaizoo.com/
ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 5 ม.ค. 2552
สอบถามได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 053-221179 และ 053-210374
มอบรางวัลผู้ชนะประกวด ในวันที่ 10 ม.ค. 2552 ซึ่งตรงกับวันเด็กแห่งชาติ
ที่มา:
1) ข่าวสดออนไลน์ 2551, สวนสัตว์เชียงใหม่เชิญชวนประกวดตั้งชื่อลูกหมีโคอาล่า, accessed 17/12/2551, from
2) สวนสัตว์เชียงใหม่ 2551, สวนสัตว์เชียงใหม่แถลงข่าวการจัดการประกวดตั้งชื่อลูกโคอาล่า, accessed 17/12/2551, from
วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ยูโธเปีย (Utopia) และ 1984...วรรณกรรมแปล ตีพิมพ์ใหม่ จากค่าย สนพ สมมติ
มีหนังสือ วรรณกรรมแปล ตีพิมพ์ใหม่ มาแนะนำสองเล่มครับ
จริงๆอาจจะเคยอ่านกันมาแล้วตอนเรียนมหาลัย (สองเรื่องนี้เคยทำเป็นภาพยนตร์ของฝรั่งสมัยก่อนด้วย เป็นวรรณกรรมคลาสสิคทั้งสองเล่มครับ)
ตอนนี้พิมพ์ออกมาอีกครั้งในภาษาไทย เหมาะแก่เวลา น่าเก็บสะสม ..
และไม่แน่ใจว่าออกมาขายประชดสังคมไทยหรือปล่าว ?
เหมาะที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์ของประเทศเรา โดยเฉพาะ ระบอบทักษิณ และ ระบอบสนธิ (ลิ้ม) ได้ดีทีเดียว
หาได้ตาม ร้านซีเอ็ด B2S และ ร้านนายอินทร์ ครับ
1) หนังสือชื่อ "ยูโธเปีย (Utopia)" ของ "เซอร์ โธ มัส มอร์"
1) หนังสือชื่อ "ยูโธเปีย (Utopia)" ของ "เซอร์ โธ มัส มอร์"
แปลโดย สมบัติ จันทรวงศ์ , สนพ สมมติ
(เล่มนี้พวก นักศึกษา แนว hedonism แนว บุปผาชน ชอบอ่านกันมาก สมัยยุค 70)

2) หนังสือชื่อ "1984" ของ "จอร์จ ออร์เวลล์"
แปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง และ อำนวยชัย ปฎิพัทธ์เผ่าพงษ์ , สนพ สมมติ (
อย่างเล่มนี้ตีพิมพ์ภาษาไทยครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2525)

ยอมรับว่าตอนหลังต้องดูหนังประกอบไปด้วยถึงเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้เขียน ..
ตอนอ่านภาษาไทยของ อ รัศมี กับ อ อำนวยชัย สองคนนี้นี่ เคลียร์เลย 100% ..
แกเก่งครับสองคนนี้ แปลไว้ตั้งแต่ปี 2525 (แกแปลตอน 2520-2525 เริ่มแปลตั้งแต่รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร ผ่านมาถึงยุค พลอ เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จนถึง รัฐบาลป๋าเปรม ทั้งหมดใช้เวลา 5 ปี นะครับ..
อยากรู้ว่าช่วงนั้นเมืองไทยเป็นอย่างไร ลองหาประวัติศาสตร์การเมืองยุคนั้นมาดูนะครับ .. เหมือน 1984 ทุกอย่างเลย)
เล่มนี้ได้รับ "คำกล่าวตาม" จาก ศ ดร ธงชัย วินิจจะกูล แห่ง ม วิสคอนซิน อเมริกา ด้วยครับ (ไม่ใช่ "คำกล่าวนำ" เพราะว่า แกเขียน comment ของแก ไว้ท้ายหนังสือ...เพราะอะไรก็ลองไปหาอ่านกันดูครับ)
Image Reference:
1) http://www.imdb.com/title/tt0087803/
2) http://www.amazon.com/Utopia-Penguin-Classics-Thomas-More/dp/0140449108/ref=sr_1_1?ie=UTF8&s=books&qid=1229392744&sr=1-1
เพลงในหนังสมัยเรายังหนุ่มๆ & สาวๆ..เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531

เพลงในหนังสมัยเรายังหนุ่มๆ & สาวๆ..
เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531
ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ
จาก webboard ของ "Kamonman.Com"
เพลงจากภาพยนตร์ไทย..ปลื้ม..พศ 2531
ไปเจอเข้าโดยบังเอิญ
จาก webboard ของ "Kamonman.Com"
เอาไปฟังกันนะครับ
ปล: ใครเรียน ชกพ กับผม จำได้ปล่าว ? .. พวกเราไปดูเรื่องนี้กันตอนเรียน ปวช ที่โรงหนังแมคเคนน่า แถวราชเทวี ต้นๆปี 2531..เรื่องนี้ทำให้เพื่อนเราคนนึงมีชื่อเล่นว่า "ไอ้ปลื้ม" จนถึงทุกวันนี้ :)
หวังดีอยากให้รำลึกถึงความหลังกัน
ปล: ใครเรียน ชกพ กับผม จำได้ปล่าว ? .. พวกเราไปดูเรื่องนี้กันตอนเรียน ปวช ที่โรงหนังแมคเคนน่า แถวราชเทวี ต้นๆปี 2531..เรื่องนี้ทำให้เพื่อนเราคนนึงมีชื่อเล่นว่า "ไอ้ปลื้ม" จนถึงทุกวันนี้ :)
หวังดีอยากให้รำลึกถึงความหลังกัน
Reference:
1) Kamonman 2008, ปลื้ม 2531, accessed 14/12/2008, from
2) NangThai Video 2008, ภาพยนตร์: ปลื้ม, accessed 14/12/2008, from
------------------------------------------------------------------
Note: เชิญคลิ้กแต่ละlinkด้านล่างนี้เพื่อฟังแต่ละเพลงครับ
------------------------------------------------------------------
หมอกบางและลมหนาว ใบไม้พราว ร่วงสู่ดิน
เพลงรัก ยังยลยิน หวานถวิล อีกแสนนาน**
ที่นี่ มีนิยาย ที่เลือนหายไปกับกาล ใครจะรู้ว่าวันวาน นิยายหวานเคยมีมา
ที่นี่เคยมีรัก แสนหวานนัก ยากจักหา
แต่เมื่อมีกาลเวลา รักที่ว่า ก็ถูกลืม
ซ้ำ **
-----------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/03duak%20rak.swf
เพลง ดอกรัก
http://www.fhqhosting.com/ui/03duak%20rak.swf
เพลง ดอกรัก
(ฮือ ....)วันคืนลับล่วง ดังดวงแก้วหาย ความสุขใจกาย ยังติดตราตรึง
รำลึกถึงวัน ผ่านผันแล้วจึง สุขโศกเศร้าซึ้ง วันเก่าผ่านเตือน
ดอกรักเคยบาน เต็มลานหัวใจ เก็บร้อยมาลัย คอยท่าคนเยือน
วันแล้ววันเล่า คอยเฝ้านับเดือน คืนผันวันเลือน ดอกรักร่วงโรย
เก็บไว้ดอกหนึ่ง ไว้ซึ่งไว้สรรไว้คิดถึงวัน ความรักโบกโบย
มีแต่น้ำตา บอกว่าไห้โหย เหมือนสายลมโชย เพียงเท่านั้นเอง (ฮือ....)
-----------------------------------------------------------------------------
โอเอยหัวใจ ทำไฉนถึงจะลืมเขา เขาไม่รักเรา จะมัวเศร้าอยู่ทำไม
เขาเคยบอกรักเรา แต่เขายังเปลี่ยนใจ เขาไปมีคนรักใหม่ ทิ้งเราให้อยู่คนเดียว
* อยากจะเปลี่ยนใจ อยากลืมเขาไป จากใจเรา
ลืมความหลังครั้งเก่า ที่ยังเฝ้าหลอนใจ**
แต่ตัดใจไม่ลง ทั้งรักทั้งหลงเขากว่าใคร
เขายังเฝ้าทำลาย สร้างแผลใจให้กับเราซ้ำ*/**/
-----------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/04jum.swf
เพลง จำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/05Yesterday%20Today%20Tomorrow.swf
-----------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/04jum.swf
เพลง จำ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/05Yesterday%20Today%20Tomorrow.swf
เพลง Yesterday Today Tomorrow
----------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/07%20paint%20our%20house.swf
เพลง ทาสีบ้าน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/06ban%20rao.swf
เพลง บ้านเรา
----------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/07%20paint%20our%20house.swf
เพลง ทาสีบ้าน
-------------------------------------------------------------------------------------------------
http://www.fhqhosting.com/ui/06ban%20rao.swf
เพลง บ้านเรา
บ้านเราอยู่ได้ดี สุขีเสียจริง หัวใจมีแต่สิ่งที่แสนสุข
อยู่กันก็ไม่มีความเศร้าความทุกข์ ทุกคนมีแต่ความสำราญ
ต่างคนต่างก็เดินไปตามทางตน ทุกคนมีจุดหมายที่ต้องการ
อย่ากลัวความเป็นจริงที่ต้องพบพาน เพราะเราคงต้องฟันฝ่าไป**
บ้านนี้ซอยนี้ ( บ้านนี้ซอยนี้ ) มีความจริงใจ
อยากบอกใครๆ ให้รักใคร่กลมเกลียว
บ้านนี้ซอยนี้ ( บ้านนี้ซอยนี้ ) มีใจเดียวกัน
ช่วยสร้างช่วยฝัน ชีวิตของเรานั้นต้องอย่าเซ็ง
ต่างคนต่างก็เดินไปตามทางตน ทุกคนมีจุดหมายที่ต้องการ
อย่ากลัวความเป็นจริงที่ต้องพบพาน เพราะเราคงต้องฟันฝ่าไป(ซ้ำ **)
--------------------------------------------------------------------------------
--------------------------------------------------------------------------------
วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551
แถลงการณ์ของ ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: เรื่อง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณียุบพรรคการเมือง
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยแถลงปิดคดีในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ โดยหลังจากที่มีการแถลงปิดคดีแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในวันเดียวกัน ให้ยุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรค พร้อมทั้งสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ของกรรมการบริหารพรรคทั้งสามพรรคนั้นระหว่างรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณะต่อไป เรา กลุ่ม ๕ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแสดงความคิดเห็นเบื้องต้น ต่อคำวินิจฉัยของศาลในเรื่องดังกล่าว ดังต่อไปนี้
๑. ความยุติธรรมเป็นคุณค่าสูงสุด ที่องค์กรตุลาการจำต้องรักษาไว้ให้มั่นคง และแสดงออกให้สาธารณชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ไม่ว่าความขัดแย้งภายในสังคมจะเป็นอย่างไร องค์กรตุลาการ จะเป็นที่พึ่งสุดท้าย ให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่า การพิจารณาคดีและการวินิจฉัยคดี จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม
๒. ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการ แท้ที่จริง หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล หรือการกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งเราทุกคนจำต้องเคารพแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม เรื่องดังกล่าวนี้ จำต้องเกิดมาจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา อีกทั้งความเป็นอิสระ และการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษาเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลจะมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ก็ยังต้องอาศัยความเชื่อถือ อันกอรปด้วยเหตุผลของสาธารณชนประกอบกัน
๓. ในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๓๒ และข้อ ๓๗ จะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีดุลพินิจในการงดไต่สวนพยานหลักฐาน หากศาลเห็นว่า คดีหนึ่งคดีใด มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยก็ตาม
ก็มิได้หมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธการรับฟังพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จากผู้ถูกร้อง ตลอดจนจากบุคคลที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัยได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมจะกล่าวไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้อง ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัย ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ตามหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
๔. ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือ แม้ศาลจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องในคดี ได้แถลงปิดคดีก็ตาม แต่ในวันที่มีการแถลงปิดคดี เมื่อผู้ถูกร้องได้แถลงปิดคดีเสร็จสิ้นแล้ว ถัดจากนั้น ด้วยระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ศาลรัฐธรรมนูญก็อ่านคำวินิจฉัยในทันที และปรากฏความผิดพลาดในคำวินิจฉัย ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขคำวินิจฉัยในขณะที่อ่าน อันเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั่วไป
การอ่านคำวินิจฉัยของศาลโดยรีบด่วนเช่นนี้ คำวินิจฉัยที่ศาลอ่าน จะเป็นคำวินิจฉัย ที่ผ่านการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ กอปรด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ วิญญูชนย่อมพิจารณาได้เองด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น ในสถานการณ์บ้านเมือง ที่กำลังขาดความไว้วางใจระหว่างกันอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม เราเห็นว่า ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ย่อมมิใช่เพียงเพราะว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้ว จึงสมควรยอมรับ หากทว่ายังจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของเรื่อง ประกอบกันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม หรือความอยุติธรรม
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณียุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรคดังกล่าวนี้ จะก่อให้เกิดความยุติธรรมอันควรแก่การสมานฉันท์หรือไม่ หรือมีคุณค่าควรแก่การยอมรับนับถือ ในฐานะที่เป็นคำวินิจฉัยในทางตุลาการหรือไม่
คำตอบ ย่อมขึ้นอยู่กับเสียงแห่งมโนธรรมสำนึกของแต่ละบุคคล
รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล
คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
๑. ความยุติธรรมเป็นคุณค่าสูงสุด ที่องค์กรตุลาการจำต้องรักษาไว้ให้มั่นคง และแสดงออกให้สาธารณชนได้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เพื่อเป็นการยืนยันว่า ไม่ว่าความขัดแย้งภายในสังคมจะเป็นอย่างไร องค์กรตุลาการ จะเป็นที่พึ่งสุดท้าย ให้ทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่า การพิจารณาคดีและการวินิจฉัยคดี จะเป็นไปตามกรอบของกฎหมายบนพื้นฐานแห่งความเป็นธรรม
๒. ความน่าเชื่อถือต่อองค์กรตุลาการ แท้ที่จริง หาได้เกิดจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เกี่ยวกับการละเมิดอำนาจศาล หรือการกล่าวอ้างว่า คำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งเราทุกคนจำต้องเคารพแต่อย่างใดไม่ ตรงกันข้าม เรื่องดังกล่าวนี้ จำต้องเกิดมาจากความสมเหตุสมผลในเหตุผลประกอบคำพิพากษา ความเป็นภววิสัยของเหตุผลประกอบคำพิพากษา อีกทั้งความเป็นอิสระ และการดำรงตนอย่างปราศจากอคติของผู้พิพากษาเท่านั้น
คำพิพากษาของศาลจะมีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร นอกจากเพราะกฎหมายกำหนดให้คำพิพากษามีค่าบังคับแล้ว ก็ยังต้องอาศัยความเชื่อถือ อันกอรปด้วยเหตุผลของสาธารณชนประกอบกัน
๓. ในการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แม้ข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๓๒ และข้อ ๓๗ จะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีดุลพินิจในการงดไต่สวนพยานหลักฐาน หากศาลเห็นว่า คดีหนึ่งคดีใด มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะวินิจฉัยก็ตาม
ก็มิได้หมายความว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะปฏิเสธการรับฟังพยานหลักฐานทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง จากผู้ถูกร้อง ตลอดจนจากบุคคลที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัยได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ย่อมจะกล่าวไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้อง ตลอดจนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำวินิจฉัย ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แล้ว ตามหลักการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม
๔. ที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันก็คือ แม้ศาลจะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกร้องในคดี ได้แถลงปิดคดีก็ตาม แต่ในวันที่มีการแถลงปิดคดี เมื่อผู้ถูกร้องได้แถลงปิดคดีเสร็จสิ้นแล้ว ถัดจากนั้น ด้วยระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ศาลรัฐธรรมนูญก็อ่านคำวินิจฉัยในทันที และปรากฏความผิดพลาดในคำวินิจฉัย ซึ่งทำให้ศาลรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขคำวินิจฉัยในขณะที่อ่าน อันเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนทั่วไป
การอ่านคำวินิจฉัยของศาลโดยรีบด่วนเช่นนี้ คำวินิจฉัยที่ศาลอ่าน จะเป็นคำวินิจฉัย ที่ผ่านการพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างรอบคอบ กอปรด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ วิญญูชนย่อมพิจารณาได้เองด้วยข้อเท็จจริงข้างต้น ในสถานการณ์บ้านเมือง ที่กำลังขาดความไว้วางใจระหว่างกันอย่างรุนแรงของผู้คนในสังคม เราเห็นว่า ความสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ย่อมมิใช่เพียงเพราะว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในเรื่องนี้แล้ว จึงสมควรยอมรับ หากทว่ายังจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงทั้งหมดของเรื่อง ประกอบกันว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม หรือความอยุติธรรม
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณียุบพรรคการเมืองทั้งสามพรรคดังกล่าวนี้ จะก่อให้เกิดความยุติธรรมอันควรแก่การสมานฉันท์หรือไม่ หรือมีคุณค่าควรแก่การยอมรับนับถือ ในฐานะที่เป็นคำวินิจฉัยในทางตุลาการหรือไม่
คำตอบ ย่อมขึ้นอยู่กับเสียงแห่งมโนธรรมสำนึกของแต่ละบุคคล
รองศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์
รองศาสตราจารย์ ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
อาจารย์ ดร.ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
อาจารย์ ธีระ สุธีวรางกูร
อาจารย์ ปิยบุตร แสงกนกกุล
คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
๓ ธันวาคม ๒๕๕๑
วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551
ประสบการณ์ที่เขตปกครองพิเศษภาคตะวันออก
ตอนนี้ว่างๆ ตกงานชั่วคราว ก็เลยช่วย work out เอา INTERNET WIFI ของยักษ์ใหญ่เจ้าหนึ่ง ว่าจะเอาเข้าไปติดตั้งที่สนามบินอู่ตะเภา แต่ก็ต้องเหนื่อยหน่ายกับพวกตัวถ่วงชาติบ้านเมืองมากมาก โดยเฉพาะเหลือบในเขตปกครองพิเศษแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก
ผมอุตส่าห์หาจากพรรคพวกเอาระบบ WIFI ที่ดีเยี่ยมมาให้ใช้ฟรีที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอีกแรง .. แต่เหลือบแห่งเขตปกครองพิเสษนี้กลับคิดจะเอาประโยชน์จากผม .. แค่คำแรกที่หลุดจากปากก็ทำให้ผมอึ้งแล้ว .. เช่น .. ผมมาช่วยเนี่ย ผมจะได้อะไร ?
บอกตรงๆ ผมรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร .. ผมเคยทำ Government project มาเยอะ สมัยหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐาน หกล้านเลขหมาย หรือ งานตู้ switch gear / switch board ของโรงไฟฟ้าใหญ่ๆ หลายที่ในประเทศไทย..แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้อีกครั้ง นี่อายุผมก็กำลังเข้าสู่ปีที่สามสิบแปดแล้ว..เหลือบไรก็ยังเยอะเช่นเดิม
ไอ้นิสัยนักการเมืองรุ่นเก่าๆยังฝังในกระดูกพวกเหลือบ .. ในทางชีววิทยา ผมไม่แน่ใจว่าเหลือบพวกนี้มีกระดูกหรือไม่ รู้แต่ว่า ขนาดชาติล่มจม เหลือบพวกนี้ก็ยังมานั่งหากิน หาผลประโยชน์กันบนกองทุกข์ของคนได้อีก
ตอนแรกผมว่าจะเลิกทำดีแล้ว ทำไปเหลือบเผ่าพันธ์นี้มันก็ไม่เห็นค่าไม่รู้สึกรู้สาหรอก .. ก็จริง คิดอีกที ผมก็แค่ คนเพี้ยนๆ แต่งตัวกระจ๊อกๆมาจากที่ไหนไม่รู้ ที่บังเอิญผ่านมาทำมาหากินในถิ่นของเขา
โชคผมยังดีที่ผมได้ข้าราชการท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในจังหวัดเข้าช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดสามารถประสานงานได้กับทีมนายทหารที่อำนวยการอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาได้อย่างทันท่วงทีและดูเป็นกัลยาณมิตร เข้าใจในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ติดอยูในสนามบินแห่งนี้ได้ดี
ตอนนี้โครงข่าย WIFI กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบในด้านความน่าจะเป็นด้านเทคนิคว่าจะสามารถทำงานได้ดีได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้เวลาเท่าไหร่เมื่อเริ่มทำการติดตั้งจนสามารถใช้งานได้จริง 100 %
ผมพูดจริงๆ ผมหน่ะไม่อยากได้หน้าหรอก หน้าผมใหญ่พอแล้ว .. ผมก็แค่ว่าผมสงสารพวกนักท่องเที่ยวที่เราไปกระทำชำเราจิตใจเขามาหลายวันแล้ว ก็เท่านั้นเอง
ผลประโยชน์...ผมไม่เคยอยากคิดอยากได้หรอก เงินพวกนี้เคยได้เคยมีมาพอแล้ว คนที่มันนับถือเงิน นับถือผลประโยชน์ส่วนตนอย่างโง่เขลา .. ไอ้พวกนี้มันไม่ใช่คน มันคือเหลือบไรในร่างมนุษย์
สุดท้าย ท่องไว้คาถาสำหรับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา .. อดทน อดทน อดทน :)
ปล มีอะไรดีๆจะอัพเดทใส่บล้อคไปให้อ่านเรื่อยๆนะครับ
วันนี้ไปนอนก่อนหล่ะคับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
ผมอุตส่าห์หาจากพรรคพวกเอาระบบ WIFI ที่ดีเยี่ยมมาให้ใช้ฟรีที่สนามบินอู่ตะเภาเพื่อช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอีกแรง .. แต่เหลือบแห่งเขตปกครองพิเสษนี้กลับคิดจะเอาประโยชน์จากผม .. แค่คำแรกที่หลุดจากปากก็ทำให้ผมอึ้งแล้ว .. เช่น .. ผมมาช่วยเนี่ย ผมจะได้อะไร ?
บอกตรงๆ ผมรู้ดีว่ามันหมายความว่าอะไร .. ผมเคยทำ Government project มาเยอะ สมัยหนุ่มๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์พื้นฐาน หกล้านเลขหมาย หรือ งานตู้ switch gear / switch board ของโรงไฟฟ้าใหญ่ๆ หลายที่ในประเทศไทย..แต่ก็ไม่คิดว่าจะมาเจออะไรแบบนี้อีกครั้ง นี่อายุผมก็กำลังเข้าสู่ปีที่สามสิบแปดแล้ว..เหลือบไรก็ยังเยอะเช่นเดิม
ไอ้นิสัยนักการเมืองรุ่นเก่าๆยังฝังในกระดูกพวกเหลือบ .. ในทางชีววิทยา ผมไม่แน่ใจว่าเหลือบพวกนี้มีกระดูกหรือไม่ รู้แต่ว่า ขนาดชาติล่มจม เหลือบพวกนี้ก็ยังมานั่งหากิน หาผลประโยชน์กันบนกองทุกข์ของคนได้อีก
ตอนแรกผมว่าจะเลิกทำดีแล้ว ทำไปเหลือบเผ่าพันธ์นี้มันก็ไม่เห็นค่าไม่รู้สึกรู้สาหรอก .. ก็จริง คิดอีกที ผมก็แค่ คนเพี้ยนๆ แต่งตัวกระจ๊อกๆมาจากที่ไหนไม่รู้ ที่บังเอิญผ่านมาทำมาหากินในถิ่นของเขา
โชคผมยังดีที่ผมได้ข้าราชการท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในจังหวัดเข้าช่วยเหลือ ทำให้ในที่สุดสามารถประสานงานได้กับทีมนายทหารที่อำนวยการอยู่ที่สนามบินอู่ตะเภาได้อย่างทันท่วงทีและดูเป็นกัลยาณมิตร เข้าใจในความรู้สึกของนักท่องเที่ยวผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ติดอยูในสนามบินแห่งนี้ได้ดี
ตอนนี้โครงข่าย WIFI กำลังอยู่ในขั้นการตรวจสอบในด้านความน่าจะเป็นด้านเทคนิคว่าจะสามารถทำงานได้ดีได้มากน้อยแค่ไหน และจะใช้เวลาเท่าไหร่เมื่อเริ่มทำการติดตั้งจนสามารถใช้งานได้จริง 100 %
ผมพูดจริงๆ ผมหน่ะไม่อยากได้หน้าหรอก หน้าผมใหญ่พอแล้ว .. ผมก็แค่ว่าผมสงสารพวกนักท่องเที่ยวที่เราไปกระทำชำเราจิตใจเขามาหลายวันแล้ว ก็เท่านั้นเอง
ผลประโยชน์...ผมไม่เคยอยากคิดอยากได้หรอก เงินพวกนี้เคยได้เคยมีมาพอแล้ว คนที่มันนับถือเงิน นับถือผลประโยชน์ส่วนตนอย่างโง่เขลา .. ไอ้พวกนี้มันไม่ใช่คน มันคือเหลือบไรในร่างมนุษย์
สุดท้าย ท่องไว้คาถาสำหรับเหตุการณ์ในบ้านเมืองเรา .. อดทน อดทน อดทน :)
ปล มีอะไรดีๆจะอัพเดทใส่บล้อคไปให้อ่านเรื่อยๆนะครับ
วันนี้ไปนอนก่อนหล่ะคับ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
ทัวร์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เกาะล้าน เกาะไผ่ ที่พัทยา
รบกวนแจ้งข่าวครับ
ตอนนี้ผมทำทัวร์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เกาะล้าน เกาะไผ่ ที่พัทยา อยู่นะ ครับ .. เป็น pilot project ภาคปฎิบัติจริงๆ
กำลังทำเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานวิจัยของกลุ่มอดีตลูกศิษย์ รปศ ที่ตอนนี้ทำโทอยู่ที่นิด้าในห้วข้อการพัฒนาและผลกระทบจากการพัฒนาแนว Over-development และ Conflict of Interest
และสืบเนื่องมาจากเมืองพัทยาดำริว่าจะนำเกาะไผ่จากกองทัพเรือไปบริหารเอง โดยมี NGO บางหน่วยงานให้การสนับสนุนโดยมักจะอ้างหลักการ SUSTAINABLE DEVELOPMENT แบบ งงๆ .. ที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะผมอาจจะเรียนมาน้อยไป หรือทำมาน้อยไป :)
ดังนั้นเราจึงจะลองทำดูว่ามันจะต้องทำให้ประหลาดมหัศจรรย์พันลึกใดๆเลยหรือ .. ถ้ารู้จักวิธีทำ คือ ทำให้ถูกต้อง ถูกหลักและสามารถปฎิบัติได้อย่างไม่ต้องเพ้อฝัน หรือ แอบแฝง จนเกินเลย .. เอาแค่ ถูกกาละ ถูกเทศะ เสมอภาค และ เท่าเทียม .. มันก็น่าจะทำได้นา ????
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะทำยาวเลยครับ project นี้ โดยทั้งหมดบริหารงานโดยคนท้องถิ่นคนเกาะล้านทั้งหมด ... คนต่างถิ่นเรายังไม่ทำ partnership ด้วย เพราะยังไม่มั่นใจในแนวคิด และ ผลประโยชน์เชิงรวม ...ตราบใดที่ Economic objective, Social objective, และ Environmental objective ยังไปด้วยกันได้ดี ไม่ติดขัด โดยจะพยายาม sustain ให้นานที่สุด ให้มากที่สุด เพื่อ generation นี้ (Intra-) และ generation หน้า (Inter-) อย่างเท่าเทียมกัน อย่างเสมอภาคกัน ทั้ง คน สัตว์ พืช (Bio-Diversity of Bio-Sphere) .. ต้องมาช่วยกันดูช่วยกันคิดช่วยกันทำครับว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ .. แค่แตะๆเฉี่ยวๆเป้าหมายพวกนี้ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...พวกเราก็มาช่วยกันได้ครับ อย่างน้อยก็มาช่วยกันเที่ยวครับ มาช่วยกันปรับสำนึกของการอนุรักษ์ให้กันและกัน
สนใจ ติดต่อได้ ราคาพิเศษ สำหรับ พวกเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่เคยเรียนกันมาที่ ศิลปากร
รวมถึง อดีตลูกศิษย์ที่สวนดุสิตด้วยนะครับ :)
หรือพวก อาจารย์อยากจะพา นศ ที่ พวกเราสอนมากันก็ได้ แต่ไม่ควรเยอะมากเกินไป ห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่านั้นเอง
ที่ทำเพราะอยากให้ทุกคนได้สัมผัส เกาะไผ่ เกาะล้าน ในอีกมุมนึง ช่วยกระตุ้นแนวคิดการอนุรักษ์ไปในตัวด้วย และ ที่สำคัญทริปสั้นๆ ราคาไม่แพง ใกล้ๆ กทม แค่นี้เอง
ที่มงานที่ดูแลก็ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยกู้ภัยทางเรือของเมืองฯ ด้วยนะครับ เราคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด
จะจัดให้ในราคาย่อมเยาว์ที่สุด แค่บอกจำนวน pax มา และวันที่จะมา ผมจะรีบทำ quotation ไปให้ทันที
ในเกาะล้าน และ เกาะไผ่ ...เที่ยวได้สองวันเต็ม นอนค้างบนเกาะล้านหนึ่งคืน ผมแถมอาหารบนเกาะไผ่มื้อเที่ยงให้หนึ่งมื้อด้วยเวลาไปดำน้ำกัน ให้เวลาทั้งวันเต็มที่ .. ชมปลา ชมปะการัง กันจนเบื่อไปข้างนึง เกาะไผ่ไม่เหมือนเกาะล้าน ปลอดผู้คนขึ้นไปจับจองใช้สอย เพราะ อาณาเขตทั้งหมดเป็นของทหารเรือ .. รับรองยัง Naive แน่นอนครับ แต่อีกหน่อยก็คงจะไม่แล้วครับ ถ้ามีการ "เปิดเกาะ" ซึ่งเรื่องนี้น่าจะต้องมาจากจิตสำนึกและต้องเป็นการตัดสินใจจากชุมชนเอง ไม่ใช่มาจากส่วนกลางหรือNGO การคัดค้านในเรื่องนี้นั้นสำคัญมาก ต้องกระทำโดยด่วนถ้าชุมชนรู้เท่าทัน .. project ของเราอย่างน้อยก็น่าจะเป็นเฟืองตัวเล็กๆที่ช่วยคัดง้างวิถีประหลาดๆเหล่านี้ได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ ต้องลองดู...
ส่วนมาพักทีเกาะล้านนั้น กิจกรรมทางน้ำที่เกาะล้านก็อัดให้เต็มเพียบ รับรองไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน แถมพ่วงทัวร์วัดบนเกาะล้าน ชมแร่เกาะล้านของแท้ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีค่า และหาได้ยาก ให้ชมด้วย พร้อมประวัติและเกร็ดความรู้ ตบท้ายด้วยการชม "ชุมชนประมงแหล่งสุดท้ายของเกาะล้าน" นำชมสถาปัตยกรรมบ้านประมงแหล่งสุดท้าย รวมถึงอุปกรณ์ประมงที่เป็นแบบเก่าและยังใช้อยู่ วิถึชีวิตและปัญหาของเขาเหล่านั้น ..etc..
ส่วนตัวผมเอง ต้นปีหน้าก็จะเพิ่มทัวร์แอ่วเหนือและประเทศข้างเคียง ลาว พม่า จนขึ้นไปถึงจีน สิบสองปันนา คุนหมิง
จะลองทัวร์ล่องแม่น้ำโขงทางเรือจากเชียงของขึ้นไปสิบสองปันนาก่อน แต่แพงหน่อยเพราะออกนอกประเทศ
อันนี้ว่าจะทำสำหรับฝรั่งที่อยู่แถวพัทยาแล้วอยากขึ้นไปเที่ยวจีน ลาว พม่า น่ะครับ
พวกฝรั่งนี่มาถามหากันมาก ซึ่งผมดีใจมาก ที่เขายังพอรู้ว่า เมืองไทย มีอะไรมากกว่า sea sand sun & sex เยอะ
ทัวร์เหนืออันนี้คงไม่ได้ทำเองเต็มตัวคนเดียวครับ มีเพื่อนทำอยู่เขาชวนให้ไปช่วยครับ
อีกหน่อยไม่แน่ ทัวร์เหนือ ทัวร์นอก อาจจะเอามาทำเองร้อยเปอร์เซนต์ครับ (ถ้ามีเงินพอนะครับ... ทุนนั้นสำคัญฉะนี้ ??? )
:)
ก็ฝากกระจายข่าวด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
ใครสนใจก็ติดต่อ ผม เบอร์เดิม 0816486630 ถ้าไม่รับหรือปิดเครื่องก็ฝากข้อความไว้พร้อมเบอร์โทรกลับใน voicemail ก็ได้ ครับ
ปล ปีหน้าตัวเลขเด็ก ป ตรี จบใหม่และจะต้องตกงานจะอยู่ที่ 750,000 คน และ ตัวเลขคนตกงานทั้งประเทศที่จะเกิดขึ้น(ไม่รวมเด็กจบใหม่) ปีหน้า ประเมินกันใหม่แล้วอยู่ที่ 2,000,000 คน
เมื่อปลายอาทิตย์ก่อน อเมริกาก็ไม่ยอมอนุมัติงบฉุกเฉินมาอุ้มเหล่าบริษัทผลิตรถยนต์ในอเมริกา อ้างว่าแผนฟื้นฟูยังไม่ดีพอ
อีกแป้ปเดี๋ยวเห็นแน่... สึนามิของการเลย์ออฟแน่ๆ ฟันธง
อนาถใจแท้ กับ ความล่มสลายของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้
หนักที่สุดในประวัติศาสตรืโลกเลยนะเนี่ย
พวกเราทำงานอยู่ก็เกาะขาเก้าอี้ให้แน่นๆนะ ประหยัด อดออม กินน้อยใช้น้อยดีแล้ว เตือนเพือนๆที่เรียน และ ที่ทำงานด้วยหล่ะ นี่ก็เตือนตัวผมด้วยนะนี่ :)
เที่ยวเมืองไทยครับ กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าดีนักแล แถม ไม่เสียเปรียบค่าเงิน และ ลดความเครียดได้ดีทีเดียวครับ .. เที่ยวพัทยาไม่ได้แพงอย่างที่คิดครับ..พัทยายังมีความเป็นเมืองแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรมอยู่นะครับ..เพียงแต่หน่วยงานรัฐและเอกชน หาจุดเหล่านี้ไม่เจอเวลาโปรโมท..ฝรั่ง แขก จีน มันก็เลย ...อืมมมมมมมมมมมม .นะ ..เชื่อผม มาพัทยาไม่แพง ไม่มั่ว ไม่ฟ้น ถ้ารู้จักที่เที่ยว และ เที่ยวเป็น ... ;)
tHanks Krab
อ เขียว
(สมนึก จงมีวศิน)
ตอนนี้ผมทำทัวร์ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เกาะล้าน เกาะไผ่ ที่พัทยา อยู่นะ ครับ .. เป็น pilot project ภาคปฎิบัติจริงๆ
กำลังทำเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานวิจัยของกลุ่มอดีตลูกศิษย์ รปศ ที่ตอนนี้ทำโทอยู่ที่นิด้าในห้วข้อการพัฒนาและผลกระทบจากการพัฒนาแนว Over-development และ Conflict of Interest
และสืบเนื่องมาจากเมืองพัทยาดำริว่าจะนำเกาะไผ่จากกองทัพเรือไปบริหารเอง โดยมี NGO บางหน่วยงานให้การสนับสนุนโดยมักจะอ้างหลักการ SUSTAINABLE DEVELOPMENT แบบ งงๆ .. ที่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะผมอาจจะเรียนมาน้อยไป หรือทำมาน้อยไป :)
ดังนั้นเราจึงจะลองทำดูว่ามันจะต้องทำให้ประหลาดมหัศจรรย์พันลึกใดๆเลยหรือ .. ถ้ารู้จักวิธีทำ คือ ทำให้ถูกต้อง ถูกหลักและสามารถปฎิบัติได้อย่างไม่ต้องเพ้อฝัน หรือ แอบแฝง จนเกินเลย .. เอาแค่ ถูกกาละ ถูกเทศะ เสมอภาค และ เท่าเทียม .. มันก็น่าจะทำได้นา ????
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะทำยาวเลยครับ project นี้ โดยทั้งหมดบริหารงานโดยคนท้องถิ่นคนเกาะล้านทั้งหมด ... คนต่างถิ่นเรายังไม่ทำ partnership ด้วย เพราะยังไม่มั่นใจในแนวคิด และ ผลประโยชน์เชิงรวม ...ตราบใดที่ Economic objective, Social objective, และ Environmental objective ยังไปด้วยกันได้ดี ไม่ติดขัด โดยจะพยายาม sustain ให้นานที่สุด ให้มากที่สุด เพื่อ generation นี้ (Intra-) และ generation หน้า (Inter-) อย่างเท่าเทียมกัน อย่างเสมอภาคกัน ทั้ง คน สัตว์ พืช (Bio-Diversity of Bio-Sphere) .. ต้องมาช่วยกันดูช่วยกันคิดช่วยกันทำครับว่าเราจะต้องทำอย่างไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ .. แค่แตะๆเฉี่ยวๆเป้าหมายพวกนี้ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...พวกเราก็มาช่วยกันได้ครับ อย่างน้อยก็มาช่วยกันเที่ยวครับ มาช่วยกันปรับสำนึกของการอนุรักษ์ให้กันและกัน
สนใจ ติดต่อได้ ราคาพิเศษ สำหรับ พวกเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ที่เคยเรียนกันมาที่ ศิลปากร
รวมถึง อดีตลูกศิษย์ที่สวนดุสิตด้วยนะครับ :)
หรือพวก อาจารย์อยากจะพา นศ ที่ พวกเราสอนมากันก็ได้ แต่ไม่ควรเยอะมากเกินไป ห่วงเรื่องความปลอดภัยเท่านั้นเอง
ที่ทำเพราะอยากให้ทุกคนได้สัมผัส เกาะไผ่ เกาะล้าน ในอีกมุมนึง ช่วยกระตุ้นแนวคิดการอนุรักษ์ไปในตัวด้วย และ ที่สำคัญทริปสั้นๆ ราคาไม่แพง ใกล้ๆ กทม แค่นี้เอง
ที่มงานที่ดูแลก็ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยกู้ภัยทางเรือของเมืองฯ ด้วยนะครับ เราคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด
จะจัดให้ในราคาย่อมเยาว์ที่สุด แค่บอกจำนวน pax มา และวันที่จะมา ผมจะรีบทำ quotation ไปให้ทันที
ในเกาะล้าน และ เกาะไผ่ ...เที่ยวได้สองวันเต็ม นอนค้างบนเกาะล้านหนึ่งคืน ผมแถมอาหารบนเกาะไผ่มื้อเที่ยงให้หนึ่งมื้อด้วยเวลาไปดำน้ำกัน ให้เวลาทั้งวันเต็มที่ .. ชมปลา ชมปะการัง กันจนเบื่อไปข้างนึง เกาะไผ่ไม่เหมือนเกาะล้าน ปลอดผู้คนขึ้นไปจับจองใช้สอย เพราะ อาณาเขตทั้งหมดเป็นของทหารเรือ .. รับรองยัง Naive แน่นอนครับ แต่อีกหน่อยก็คงจะไม่แล้วครับ ถ้ามีการ "เปิดเกาะ" ซึ่งเรื่องนี้น่าจะต้องมาจากจิตสำนึกและต้องเป็นการตัดสินใจจากชุมชนเอง ไม่ใช่มาจากส่วนกลางหรือNGO การคัดค้านในเรื่องนี้นั้นสำคัญมาก ต้องกระทำโดยด่วนถ้าชุมชนรู้เท่าทัน .. project ของเราอย่างน้อยก็น่าจะเป็นเฟืองตัวเล็กๆที่ช่วยคัดง้างวิถีประหลาดๆเหล่านี้ได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ ต้องลองดู...
ส่วนมาพักทีเกาะล้านนั้น กิจกรรมทางน้ำที่เกาะล้านก็อัดให้เต็มเพียบ รับรองไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างแน่นอน แถมพ่วงทัวร์วัดบนเกาะล้าน ชมแร่เกาะล้านของแท้ที่ศักดิ์สิทธิ์ มีค่า และหาได้ยาก ให้ชมด้วย พร้อมประวัติและเกร็ดความรู้ ตบท้ายด้วยการชม "ชุมชนประมงแหล่งสุดท้ายของเกาะล้าน" นำชมสถาปัตยกรรมบ้านประมงแหล่งสุดท้าย รวมถึงอุปกรณ์ประมงที่เป็นแบบเก่าและยังใช้อยู่ วิถึชีวิตและปัญหาของเขาเหล่านั้น ..etc..
ส่วนตัวผมเอง ต้นปีหน้าก็จะเพิ่มทัวร์แอ่วเหนือและประเทศข้างเคียง ลาว พม่า จนขึ้นไปถึงจีน สิบสองปันนา คุนหมิง
จะลองทัวร์ล่องแม่น้ำโขงทางเรือจากเชียงของขึ้นไปสิบสองปันนาก่อน แต่แพงหน่อยเพราะออกนอกประเทศ
อันนี้ว่าจะทำสำหรับฝรั่งที่อยู่แถวพัทยาแล้วอยากขึ้นไปเที่ยวจีน ลาว พม่า น่ะครับ
พวกฝรั่งนี่มาถามหากันมาก ซึ่งผมดีใจมาก ที่เขายังพอรู้ว่า เมืองไทย มีอะไรมากกว่า sea sand sun & sex เยอะ
ทัวร์เหนืออันนี้คงไม่ได้ทำเองเต็มตัวคนเดียวครับ มีเพื่อนทำอยู่เขาชวนให้ไปช่วยครับ
อีกหน่อยไม่แน่ ทัวร์เหนือ ทัวร์นอก อาจจะเอามาทำเองร้อยเปอร์เซนต์ครับ (ถ้ามีเงินพอนะครับ... ทุนนั้นสำคัญฉะนี้ ??? )
:)
ก็ฝากกระจายข่าวด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ
ใครสนใจก็ติดต่อ ผม เบอร์เดิม 0816486630 ถ้าไม่รับหรือปิดเครื่องก็ฝากข้อความไว้พร้อมเบอร์โทรกลับใน voicemail ก็ได้ ครับ
ปล ปีหน้าตัวเลขเด็ก ป ตรี จบใหม่และจะต้องตกงานจะอยู่ที่ 750,000 คน และ ตัวเลขคนตกงานทั้งประเทศที่จะเกิดขึ้น(ไม่รวมเด็กจบใหม่) ปีหน้า ประเมินกันใหม่แล้วอยู่ที่ 2,000,000 คน
เมื่อปลายอาทิตย์ก่อน อเมริกาก็ไม่ยอมอนุมัติงบฉุกเฉินมาอุ้มเหล่าบริษัทผลิตรถยนต์ในอเมริกา อ้างว่าแผนฟื้นฟูยังไม่ดีพอ
อีกแป้ปเดี๋ยวเห็นแน่... สึนามิของการเลย์ออฟแน่ๆ ฟันธง
อนาถใจแท้ กับ ความล่มสลายของเศรษฐกิจโลกครั้งนี้
หนักที่สุดในประวัติศาสตรืโลกเลยนะเนี่ย
พวกเราทำงานอยู่ก็เกาะขาเก้าอี้ให้แน่นๆนะ ประหยัด อดออม กินน้อยใช้น้อยดีแล้ว เตือนเพือนๆที่เรียน และ ที่ทำงานด้วยหล่ะ นี่ก็เตือนตัวผมด้วยนะนี่ :)
เที่ยวเมืองไทยครับ กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าดีนักแล แถม ไม่เสียเปรียบค่าเงิน และ ลดความเครียดได้ดีทีเดียวครับ .. เที่ยวพัทยาไม่ได้แพงอย่างที่คิดครับ..พัทยายังมีความเป็นเมืองแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรมอยู่นะครับ..เพียงแต่หน่วยงานรัฐและเอกชน หาจุดเหล่านี้ไม่เจอเวลาโปรโมท..ฝรั่ง แขก จีน มันก็เลย ...อืมมมมมมมมมมมม .นะ ..เชื่อผม มาพัทยาไม่แพง ไม่มั่ว ไม่ฟ้น ถ้ารู้จักที่เที่ยว และ เที่ยวเป็น ... ;)
tHanks Krab
อ เขียว
(สมนึก จงมีวศิน)
ประสบการณ์ที่อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต (เหมือนเมื่อครั้งวันเขมรแตก)
ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้ไปเยี่ยมสนามบินอู่ตะเภามาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ลักษณะของอาคารผู้โดยสาร มีขนาดประมาณ ปั๊ม ปตท ขนาดแค่หนึ่งสถานี เพื่อรองรับกับจำนวนผู้โดยสารนับได้หลายพันคน
เหมือนว่าเราเอากล่องไม้ขีดมาวางกลางลานบ้านโล่งๆ อะไรๆประมาณนั้นเลยครับ
รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ผมต้องจอดรถและใช้เวลาเดินกว่าสิบห้านาทีกว่าที่จะเห็นตัวอาคารสนามบินได้ถนัดตา ก็บอกแล้วมันเล็กมากกกก
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เดินทางมาอู่ตะเภาต่างพยายามจะไปให้ถึงตัวสนามบินให้ได้ พวกเขาลงเดินเท้ากันเป็นขบวนยาวเหยียด ภาพไม่ต่างอะไรกับที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่พวกพันธมิตรเข้าปิดล้อมวันแรก
เมื่อเดินเท้าไปถึงนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวสนามบินได้สักที เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะว่าคนมันต่อคิวเข้า check-in หรือ check-flight จนสถานที่ไม่พอบรรจุคน มันล้นปรี่ออกมานอกสนามบินทะลักออกนอกประตู เป็นสายยาว บ้างนั่ง บ้างนอน ตามมีตามเกิด เหมือนๆกับการต่อคิวเพื่อเข้าไปซื้อหนังสือ harry porter เล่มล่าสุด หรือ เหมือนกับแถวที่รอเข้าคิวเล่นเรือไวกิ้งที่ดรีมเวิลด์ในวันสงกรานต์ อย่างไรอย่างนั้นเลย
จากภาพที่เห็น ในใจผมตอนนั้นคิดประโยคออกมาได้เพียงประโยคเดียว... เขมรแตก !!!
เมืองไทยเรามีวันนี้ด้วยจริงๆเหรอนี่ ... อายุผมก็กว่าสามสิบเจ็ดเข้าไปแล้ว ... เคยผ่านพฤกษภาทมิฬมา ก็ไม่เคยเห็นชาวต่างชาติต้องมาได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ ... ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ
หันมาดูหน้านักท่องเที่ยว.. เกือบทุกคนมีสีหน้าตระหนก ต่างก็หวั่นว่าตัวเองจะได้บินออกจากดินแดนสาระขันธ์นี้ไปได้ไหม เมื่อไหร่ พวกเขาต่างภาวนาให้เหตุการณ์ การรอคอยที่แสนทุกข์ทนนี้จบลงโดยเร็วที่สุด .. ผมแทบอ่านใจเขาออกเลย จากใบหน้าของพวกเขา ผมว่าเขาอาจจะคิดนะ ... ถ้าเป็นไปได้ ขอแค่หลับตาแล้วตื่นมากลายเป็นอีกประเทศนึง ถึงแม้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของพวกเขา ก็ยังดีกว่าที่จะอยู่ในประเทศไทยนี้
อีกอย่างที่ confirm ว่าการเดาของผมน่าจะใกล้เคียง .. ผมแอบได้ยินพวกเขาคุยกันว่า พอบินถึง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือ กรุงโซล แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะต้องไป Transist เครื่องอีกกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ยังสบายอกสบายใจมากกว่า การอยู่ในเมืองไทย
ผมมีโอกาสได้ช่วยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันซึ่งเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็น Volunteer ที่ทำงานอยู่ในทวีปแอฟริกาหลายๆประเทศในทวีปนี้มากว่าสองปี และได้มาแวะพักผ่อนที่เมืองไทยก่อนเดินทางกลับอเมริกา ซึ่งกำหนดกลับเขาต้องกลับไปฉลอง thanks giving หรือ ฉลองวันขอบคุณพระเจ้า กับครอบครัวของเขาคือพ่อแม่พี่น้องให้ทัน เพราะจะมีแค่ปีละครั้งเท่านั้นสำหรับครอบครัวใหญ่อย่างเขาที่ทุกคนจะว่างมาพบปะพูดคุยกัน ฉลองร่วมกัน .. แต่ก็อย่างที่ทราบ เขาก็ยังไม่ได้กลับ
เขาโชคดีมากที่ได้สิทธิ์พำนักอยู่ต่อในเมืองไทยจากพวกพันธมิตรที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใช่ครับเขาต้องอยู่ในโรงแรมที่ทางการจัดให้อยู่หลายวัน ใครเคยไปต่างบ้านต่างเมืองบ่อยๆคงเข้าใจความรู้สึกของคนอยากกลับบ้านแต่ไม่ได้กลับได้ดี :(
และเช้าวันที่ผมเจอเขา เขาได้รับการ confirm จาก agency ว่า มีเครื่องบินจะมารับเขาที่อู่ตะเภาไปยังกรุงโซลของเกาหลีใต้ เพื่อต่อเครื่องเข้าประเทศอเมริกาซึ่งก็คือจุดหมายปลายทางของเขา และในวันที่ผมพบเขาเป็นครั้งแรกนี้ เขามีสีหน้าที่อิดโรยมาก หวาดระแวงคนไทยไปหมด ผมคาดว่าเขาคงเดินเข้ามาที่สนามบินจากจุดจอดรถที่ไกลมากๆ ผมสังเกตจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขา
ผมเห็นเขาถามหา internet cafe หรือ ตู้โทรศัพท์แบบ international call กับพวกแท๊กซี่ ซึ่งพวกแท๊กซี่เหล่านี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าที่ไหนในอู่ตะเภาที่จะมีของเหล่านี้ได้
มันจะมีได้อย่างไรหล่ะครับ อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาแต่ในนามเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วสนามบินนี้มีขนาดกระทัดรัดมาก สาธารณูปโภคจึงกระทัดรัดตามไปด้วย
แต่ก็โชคดีมากๆ เหมือนฟ้ามาโปรดทีเดียว ... เมืองพัทยา ท่านใจดีสั่งให้รถสุขาเคลื่อนที่มาประจำอยู่ที่ลานจอดรถของสนามบินตั้งสองคัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมหาศาล สุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่หนึ่ง
ลืมบอกไปครับ ชาวอเมริกันคนนั้นเขาเผอิญหันมาเห็นผมพอดี เขาคงคาดเดาได้ว่าผมพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง คาดว่าคงจะสังเกตจากเลนส์แว่นที่หนาเตอะของผม เขาหันมาถามผมด้วยคำถามเดียวกับที่ถามแท๊กซี่เมื่อกี้ ผมก็ตอบไปว่าเท่าที่รู้แถวนี้เป็นเขตของทหารเรือทั้งหมด ไอ้พวก Internet หรือ International Call ที่เขาต้องการหน่ะ น่าจะต้องออกไปหาข้างนอกฐานทัพเรือนั่นแหล่ะ ก็คงจะหาได้บ้าง
เขาก็ถามผมว่าถ้าจะจ้างผมพาเขาออกไปได้ไหม คิดเงินเท่าไหร่ .. ผมตอบกลับไปว่าไม่ต้องจ้างผมหรอก ผมยินดีช่วยฟรีๆเลย แต่ปัญหาคือ พวกเราจะออกไปอย่างไร ขณะที่พูดกันอยู่นี่เราเดินไปไม่ถึงตัวสนามบินเลย มองก็ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ... ทหารเรือท่านก็ทำเท่ห์มาก จัดรถแบบวันเวย์ แถมตรวจเข้มเสียด้วย ถ้าจะออกไปแล้วกลับมาคงจะไม่คุ้มทุนสร้าง ทั้งการเสียเวลา และ ค่าแก๊ส (รถผมใช้แก๊สแล้วครับ คิดผิดจริงๆ เขาจะขึ้นทั้งหมดอีกหกบาทแหน่ะ)
ขณะที่เดินกลับมาที่รถของผมเพื่อคิดหาทางขับออกไป ก็นึกได้ว่าไอ้โทรศัพท์ผมนี่แหละช่วยเขาได้ เพระมันรับส่งอีเมลล์ได้ ผ่าน แอดเดรส และ GPRS ของผม ... ขอบคุณสัณญาณ DTAC ... เอาเป็นว่าในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมาย สามารถส่งข้อความสำคัญไปให้ครอบครัวของเขาได้ ผมนี่รู้สึกดีใจมากที่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความเข็ญใจของเขาลงไปได้บ้าง
เขาส่งอีเมล์อีกอันไปให้แม่เขาเพื่อขอให้แม่เขาติดต่อ agency ใน อเมริกาให้ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องบินจะมารับเขาตีหนึ่งครึ่ง(ของอีกวันหนึ่ง)ที่อู่ตะเภา โดยไม่เกิดการ cancel flight ..
เขามากระซิบบอกผมตอนหลังว่า เขาทนอยู่เมืองไทยไม่ไหวแล้วแม่แต่วินาทีเดียว เขาบอกว่าตอนนี้ประเทศไทยในสายตาพวกต่างชาติอย่างพวกเขา ก็คือประเทศแอฟริกา ที่ติดแอร์ มีไฟฟ้ามีน้ำใช้ก็แค่นั้นเอง ... เขาถามผมรู้จักเรื่องราวของ ประเทศอูกันด้า ไหม .. ผมตอบไปว่าคลับคล้ายคลับคลานะ คุณกำลังหมายถึงประเทศผมนี่ มี ..อีดี้ อามีน..อยู่ใช่ไหม ???
เขากลับหัวเราะ ไม่ตอบ แต่ผมพอเดาได้ว่าคำตอบผมถูก ตรงใจเขาที่สุด ...อืมมม ... ผมเห็นด้วย :)
ก่อนจากกันเขาขอบอกขอบใจผมใหญ่ที่ผมช่วยเขา ผมรู้สึกได้ว่าเขาดีใจมาก ดีใจมากที่ยังมีคนไทยคอยดูแล ไม่ใช่คอยรังแกเขาเหมือนเมื่อเขาอยุ่ในสนามบินที่สุวรรณภูมิเมื่อหลายวันก่อน .. ผมให้เบอร์มือถือผมกับเขาไป เพื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เขายังมีเพื่อนที่พอจะติดต่อได้บ้าง และหรือ เขาอาจจะโทรเข้ามาถามผมเผื่อว่าแม่เขาจะตอบ email กลับมาหาเขา หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง
สรุปแล้ววันนั้นเขาคงได้flight ไปโซลแล้วหล่ะ ไม่มีโทรศัพท์กลับมาหาผมอีกเลย
หวังว่าป่านนี้เขาคงจะใกล้ถึงอเมริกาแล้ว
โชคดีเพื่อน
ถ้าจะมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง พวกเรายินดีต้อนรับนะ
แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำใจพร้อมพอ .. เพื่อมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งเมื่อไหร่ ?
ผมไม่ได้หมายถึงเขาแค่คนเดียวนะ ผมกำลังหมายถึง นักท่องเที่ยวทุกๆคนที่เคยอยู่และยังต้องอยู่ในเมืองไทยแบบ วันเขมรแตก ของเรา
พวกเขาจะยอมกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกหรือปล่าว ? .. ใครรู้ ใครมั่นใจ ... ช่วยตอบทีครับ !
ปล: เจ้าหน้าที่ทหารเรือท่านก็ใจดี.. กั้นที่ให้เราไปจอดรถและกลับรถ .. แค่ขอเก็บค่าผ่านทางนิดหน่อยเล็กน้อย .. เริ่มต้นที่คันละ 20 บาท พร้อมใบเสร็จ ... เรื่องนี้ทหารท่านก็วิสัยทัศน์สุดยอดเช่นกัน ขอยกให้เป็นสุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่สอง
อืมมม...ผมง่วงมากแล้ว ไปนอนก่อนหล่ะ แล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทให้ใหม่ .. ถ้าอู่ตะเภาเขามีอะไรเปลี่ยนแปลง และ ถ้าเช้าวันนี้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศไทยอยู่นะ .. ผมหวังอย่างนั้นนะ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
เขียนเมื่อ 2 ธค 2551 เวลา 02:30AM
ลักษณะของอาคารผู้โดยสาร มีขนาดประมาณ ปั๊ม ปตท ขนาดแค่หนึ่งสถานี เพื่อรองรับกับจำนวนผู้โดยสารนับได้หลายพันคน
เหมือนว่าเราเอากล่องไม้ขีดมาวางกลางลานบ้านโล่งๆ อะไรๆประมาณนั้นเลยครับ
รถติดยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ผมต้องจอดรถและใช้เวลาเดินกว่าสิบห้านาทีกว่าที่จะเห็นตัวอาคารสนามบินได้ถนัดตา ก็บอกแล้วมันเล็กมากกกก
นักท่องเที่ยวส่วนมากที่เดินทางมาอู่ตะเภาต่างพยายามจะไปให้ถึงตัวสนามบินให้ได้ พวกเขาลงเดินเท้ากันเป็นขบวนยาวเหยียด ภาพไม่ต่างอะไรกับที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อวันที่พวกพันธมิตรเข้าปิดล้อมวันแรก
เมื่อเดินเท้าไปถึงนักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวสนามบินได้สักที เพราะอะไรเหรอครับ ก็เพราะว่าคนมันต่อคิวเข้า check-in หรือ check-flight จนสถานที่ไม่พอบรรจุคน มันล้นปรี่ออกมานอกสนามบินทะลักออกนอกประตู เป็นสายยาว บ้างนั่ง บ้างนอน ตามมีตามเกิด เหมือนๆกับการต่อคิวเพื่อเข้าไปซื้อหนังสือ harry porter เล่มล่าสุด หรือ เหมือนกับแถวที่รอเข้าคิวเล่นเรือไวกิ้งที่ดรีมเวิลด์ในวันสงกรานต์ อย่างไรอย่างนั้นเลย
จากภาพที่เห็น ในใจผมตอนนั้นคิดประโยคออกมาได้เพียงประโยคเดียว... เขมรแตก !!!
เมืองไทยเรามีวันนี้ด้วยจริงๆเหรอนี่ ... อายุผมก็กว่าสามสิบเจ็ดเข้าไปแล้ว ... เคยผ่านพฤกษภาทมิฬมา ก็ไม่เคยเห็นชาวต่างชาติต้องมาได้รับความเดือดร้อนขนาดนี้ ... ผมไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ
หันมาดูหน้านักท่องเที่ยว.. เกือบทุกคนมีสีหน้าตระหนก ต่างก็หวั่นว่าตัวเองจะได้บินออกจากดินแดนสาระขันธ์นี้ไปได้ไหม เมื่อไหร่ พวกเขาต่างภาวนาให้เหตุการณ์ การรอคอยที่แสนทุกข์ทนนี้จบลงโดยเร็วที่สุด .. ผมแทบอ่านใจเขาออกเลย จากใบหน้าของพวกเขา ผมว่าเขาอาจจะคิดนะ ... ถ้าเป็นไปได้ ขอแค่หลับตาแล้วตื่นมากลายเป็นอีกประเทศนึง ถึงแม้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางของพวกเขา ก็ยังดีกว่าที่จะอยู่ในประเทศไทยนี้
อีกอย่างที่ confirm ว่าการเดาของผมน่าจะใกล้เคียง .. ผมแอบได้ยินพวกเขาคุยกันว่า พอบินถึง มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง หรือ กรุงโซล แล้ว ถึงแม้พวกเขาจะต้องไป Transist เครื่องอีกกี่ครั้งก็ตาม เขาก็ยังสบายอกสบายใจมากกว่า การอยู่ในเมืองไทย
ผมมีโอกาสได้ช่วยนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันซึ่งเป็นคนหนุ่มคนหนึ่ง เขาเป็น Volunteer ที่ทำงานอยู่ในทวีปแอฟริกาหลายๆประเทศในทวีปนี้มากว่าสองปี และได้มาแวะพักผ่อนที่เมืองไทยก่อนเดินทางกลับอเมริกา ซึ่งกำหนดกลับเขาต้องกลับไปฉลอง thanks giving หรือ ฉลองวันขอบคุณพระเจ้า กับครอบครัวของเขาคือพ่อแม่พี่น้องให้ทัน เพราะจะมีแค่ปีละครั้งเท่านั้นสำหรับครอบครัวใหญ่อย่างเขาที่ทุกคนจะว่างมาพบปะพูดคุยกัน ฉลองร่วมกัน .. แต่ก็อย่างที่ทราบ เขาก็ยังไม่ได้กลับ
เขาโชคดีมากที่ได้สิทธิ์พำนักอยู่ต่อในเมืองไทยจากพวกพันธมิตรที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใช่ครับเขาต้องอยู่ในโรงแรมที่ทางการจัดให้อยู่หลายวัน ใครเคยไปต่างบ้านต่างเมืองบ่อยๆคงเข้าใจความรู้สึกของคนอยากกลับบ้านแต่ไม่ได้กลับได้ดี :(
และเช้าวันที่ผมเจอเขา เขาได้รับการ confirm จาก agency ว่า มีเครื่องบินจะมารับเขาที่อู่ตะเภาไปยังกรุงโซลของเกาหลีใต้ เพื่อต่อเครื่องเข้าประเทศอเมริกาซึ่งก็คือจุดหมายปลายทางของเขา และในวันที่ผมพบเขาเป็นครั้งแรกนี้ เขามีสีหน้าที่อิดโรยมาก หวาดระแวงคนไทยไปหมด ผมคาดว่าเขาคงเดินเข้ามาที่สนามบินจากจุดจอดรถที่ไกลมากๆ ผมสังเกตจากเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขา
ผมเห็นเขาถามหา internet cafe หรือ ตู้โทรศัพท์แบบ international call กับพวกแท๊กซี่ ซึ่งพวกแท๊กซี่เหล่านี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าที่ไหนในอู่ตะเภาที่จะมีของเหล่านี้ได้
มันจะมีได้อย่างไรหล่ะครับ อู่ตะเภาอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ชื่อนี้ถูกตั้งขึ้นมาแต่ในนามเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วสนามบินนี้มีขนาดกระทัดรัดมาก สาธารณูปโภคจึงกระทัดรัดตามไปด้วย
แต่ก็โชคดีมากๆ เหมือนฟ้ามาโปรดทีเดียว ... เมืองพัทยา ท่านใจดีสั่งให้รถสุขาเคลื่อนที่มาประจำอยู่ที่ลานจอดรถของสนามบินตั้งสองคัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมหาศาล สุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่หนึ่ง
ลืมบอกไปครับ ชาวอเมริกันคนนั้นเขาเผอิญหันมาเห็นผมพอดี เขาคงคาดเดาได้ว่าผมพอจะพูดภาษาอังกฤษได้บ้าง คาดว่าคงจะสังเกตจากเลนส์แว่นที่หนาเตอะของผม เขาหันมาถามผมด้วยคำถามเดียวกับที่ถามแท๊กซี่เมื่อกี้ ผมก็ตอบไปว่าเท่าที่รู้แถวนี้เป็นเขตของทหารเรือทั้งหมด ไอ้พวก Internet หรือ International Call ที่เขาต้องการหน่ะ น่าจะต้องออกไปหาข้างนอกฐานทัพเรือนั่นแหล่ะ ก็คงจะหาได้บ้าง
เขาก็ถามผมว่าถ้าจะจ้างผมพาเขาออกไปได้ไหม คิดเงินเท่าไหร่ .. ผมตอบกลับไปว่าไม่ต้องจ้างผมหรอก ผมยินดีช่วยฟรีๆเลย แต่ปัญหาคือ พวกเราจะออกไปอย่างไร ขณะที่พูดกันอยู่นี่เราเดินไปไม่ถึงตัวสนามบินเลย มองก็ยังไม่เห็นด้วยซ้ำ ... ทหารเรือท่านก็ทำเท่ห์มาก จัดรถแบบวันเวย์ แถมตรวจเข้มเสียด้วย ถ้าจะออกไปแล้วกลับมาคงจะไม่คุ้มทุนสร้าง ทั้งการเสียเวลา และ ค่าแก๊ส (รถผมใช้แก๊สแล้วครับ คิดผิดจริงๆ เขาจะขึ้นทั้งหมดอีกหกบาทแหน่ะ)
ขณะที่เดินกลับมาที่รถของผมเพื่อคิดหาทางขับออกไป ก็นึกได้ว่าไอ้โทรศัพท์ผมนี่แหละช่วยเขาได้ เพระมันรับส่งอีเมลล์ได้ ผ่าน แอดเดรส และ GPRS ของผม ... ขอบคุณสัณญาณ DTAC ... เอาเป็นว่าในที่สุดเขาก็บรรลุเป้าหมาย สามารถส่งข้อความสำคัญไปให้ครอบครัวของเขาได้ ผมนี่รู้สึกดีใจมากที่อย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความเข็ญใจของเขาลงไปได้บ้าง
เขาส่งอีเมล์อีกอันไปให้แม่เขาเพื่อขอให้แม่เขาติดต่อ agency ใน อเมริกาให้ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องบินจะมารับเขาตีหนึ่งครึ่ง(ของอีกวันหนึ่ง)ที่อู่ตะเภา โดยไม่เกิดการ cancel flight ..
เขามากระซิบบอกผมตอนหลังว่า เขาทนอยู่เมืองไทยไม่ไหวแล้วแม่แต่วินาทีเดียว เขาบอกว่าตอนนี้ประเทศไทยในสายตาพวกต่างชาติอย่างพวกเขา ก็คือประเทศแอฟริกา ที่ติดแอร์ มีไฟฟ้ามีน้ำใช้ก็แค่นั้นเอง ... เขาถามผมรู้จักเรื่องราวของ ประเทศอูกันด้า ไหม .. ผมตอบไปว่าคลับคล้ายคลับคลานะ คุณกำลังหมายถึงประเทศผมนี่ มี ..อีดี้ อามีน..อยู่ใช่ไหม ???
เขากลับหัวเราะ ไม่ตอบ แต่ผมพอเดาได้ว่าคำตอบผมถูก ตรงใจเขาที่สุด ...อืมมม ... ผมเห็นด้วย :)
ก่อนจากกันเขาขอบอกขอบใจผมใหญ่ที่ผมช่วยเขา ผมรู้สึกได้ว่าเขาดีใจมาก ดีใจมากที่ยังมีคนไทยคอยดูแล ไม่ใช่คอยรังแกเขาเหมือนเมื่อเขาอยุ่ในสนามบินที่สุวรรณภูมิเมื่อหลายวันก่อน .. ผมให้เบอร์มือถือผมกับเขาไป เพื่อว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เขายังมีเพื่อนที่พอจะติดต่อได้บ้าง และหรือ เขาอาจจะโทรเข้ามาถามผมเผื่อว่าแม่เขาจะตอบ email กลับมาหาเขา หากมีอะไรเปลี่ยนแปลง
สรุปแล้ววันนั้นเขาคงได้flight ไปโซลแล้วหล่ะ ไม่มีโทรศัพท์กลับมาหาผมอีกเลย
หวังว่าป่านนี้เขาคงจะใกล้ถึงอเมริกาแล้ว
โชคดีเพื่อน
ถ้าจะมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้ง พวกเรายินดีต้อนรับนะ
แต่ผมไม่รู้ว่าเขาจะทำใจพร้อมพอ .. เพื่อมาเที่ยวเมืองไทยอีกครั้งเมื่อไหร่ ?
ผมไม่ได้หมายถึงเขาแค่คนเดียวนะ ผมกำลังหมายถึง นักท่องเที่ยวทุกๆคนที่เคยอยู่และยังต้องอยู่ในเมืองไทยแบบ วันเขมรแตก ของเรา
พวกเขาจะยอมกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีกหรือปล่าว ? .. ใครรู้ ใครมั่นใจ ... ช่วยตอบทีครับ !
ปล: เจ้าหน้าที่ทหารเรือท่านก็ใจดี.. กั้นที่ให้เราไปจอดรถและกลับรถ .. แค่ขอเก็บค่าผ่านทางนิดหน่อยเล็กน้อย .. เริ่มต้นที่คันละ 20 บาท พร้อมใบเสร็จ ... เรื่องนี้ทหารท่านก็วิสัยทัศน์สุดยอดเช่นกัน ขอยกให้เป็นสุดยอดแห่งวิสัยทัศน์ชุดที่สอง
อืมมม...ผมง่วงมากแล้ว ไปนอนก่อนหล่ะ แล้วเดี๋ยวจะมาอัพเดทให้ใหม่ .. ถ้าอู่ตะเภาเขามีอะไรเปลี่ยนแปลง และ ถ้าเช้าวันนี้ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศไทยอยู่นะ .. ผมหวังอย่างนั้นนะ
ราตรีสวัสดิ์ครับ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
เขียนเมื่อ 2 ธค 2551 เวลา 02:30AM
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
พันธมิตรต้องหยุดชุมนุม กลับสู่ระบบนิติรัฐ
ถึงเวลานำประเทศกลับสู่ระบบนิติรัฐยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรผู้นำทุกฝ่ายต้องควบคุมมวลชนของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ
เหตุการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ได้ทำให้ประเทศชาติสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และภาพพจน์ในสายตานานาชาติอย่างไม่อาจประมาณค่าได้ อีกทั้งยังมีการปะทะกันของประชาชนฝ่ายต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ และแนวโน้มว่าความรุนแรงระหว่างประชาชนจะแผ่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น จนนำประเทศไทยไปสู่มิคสัญญี และการรัฐประหารในที่สุด พวกเราในฐานะสมาชิกเครือข่ายสันติประชาธรรม จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หาทางยุติภาวะดังกล่าวก่อนที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียไปมากกว่านี้
1. สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้กลุ่มพันธมิตรอยู่เหนือกฎหมายอีกต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐต้องหาทางยุติการชุมนุมของพันธมิตร
การที่สังคมไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่มิคสัญญีในขณะนี้เป็นผลพวงโดยตรงของความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการจัดการกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองให้อยู่ภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง กล่าวได้ว่า ที่ผ่านม าฝ่ายต่าง ๆ ได้ปล่อยปละละเลย จนถึงขั้นอุ้มชูให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวในลักษณะที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองตลอดมา เสมือนว่ากลุ่มพันธมิตรคืออภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือกฎหมายของประเทศนี้
แน่นอนว่ากลุ่มพันธมิตรมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองของตน แต่ผู้นำพันธมิตรจักต้องตระหนักเช่นกันว่า ระบบนิติรัฐคือหัวใจสำคัญของหลักการและกระบวนการประชาธิปไตย กฎหมายมีไว้ปฏิบัติต่อทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะมันคือหลักประกันว่าสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นจะไม่ถูกละเมิด
แต่การใช้ยุทธวิธีบุกยึดสถานที่สำคัญ ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเสมือนการจับเอาประเทศและประชาชนเป็นตัวประกัน ใช้ความเสียหายสุดคณานับเป็นเงื่อนไขเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาล ผู้นำกองทัพ และกลุ่มธุรกิจ ต้องจำนนต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มตน จึงเท่ากับบีบบังคับให้คนทั้งประเทศยอมรับต่อกฎเกณฑ์ที่ผู้นำพันธมิตรเป็นผู้กำหนดแต่ฝ่ายเดียว
ฉะนั้น ไม่ว่าเจตน์จำนงของผู้นำพันธมิตรจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่วิธีการที่ดำเนินตลอดมาได้ทำลายความชอบธรรมของกลุ่มพันธมิตรลงแล้วอย่างสิ้นเชิง สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้วิธีการของกลุ่มพันธมิตรกลายเป็นบรรทัดฐานของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอนาคต
ดังนั้น จึงถึงเวลายุติการชุมนุมของพันธมิตร เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจักต้องหาทางนำประเทศคืนสู่ระบบนิติรัฐโดยปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ฝ่ายพันธมิตรออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้จักต้องดำเนินไปด้วยความละมุนละม่อม ตามหลักปฏิบัติสากลของการสลายการชุมนุม เพื่อป้องกันความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
2. เราขอประณามการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ผู้นำทุกฝ่ายต้องควบคุมมวลชนของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ
เราขอเรียกร้องให้ผู้นำทั้งของพันธมิตร และฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ยุติการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่จะนำประเทศไปสู่การนองเลือด มิคสัญญี และรัฐประหารในที่สุด พวกท่านจักต้องรับผิดชอบให้มวลชนของตนตั้งอยู่ในความสงบ หยุดยั่วยุ ทำร้ายซึ่งกันและกัน และปราศจากการใช้อาวุธใด ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐจักต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ใช้ความรุนแรงอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่เลิกฝักฝ่าย การเลือกปฏิบัติไม่เพียงแต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของกลไกรัฐ แต่จะยังทำให้ความพยายามฟื้นฟูระบบนิติรัฐแก่สังคมไทยเป็นไปได้ยากยิ่ง
เครือข่ายสันติประชาธรรม
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.เกษม เพ็ญภินันท์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา: เครือข่ายสันติประชาธรรม (Rule of Law Thailand), accessed 27/11/2008, from
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/
เหตุการณ์ที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ได้ทำให้ประเทศชาติสูญเสียอย่างมหาศาลทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และภาพพจน์ในสายตานานาชาติอย่างไม่อาจประมาณค่าได้ อีกทั้งยังมีการปะทะกันของประชาชนฝ่ายต่าง ๆ ในหลายพื้นที่ และแนวโน้มว่าความรุนแรงระหว่างประชาชนจะแผ่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น จนนำประเทศไทยไปสู่มิคสัญญี และการรัฐประหารในที่สุด พวกเราในฐานะสมาชิกเครือข่ายสันติประชาธรรม จึงขอยื่นข้อเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้หาทางยุติภาวะดังกล่าวก่อนที่ประเทศไทยจะต้องสูญเสียไปมากกว่านี้
1. สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้กลุ่มพันธมิตรอยู่เหนือกฎหมายอีกต่อไป เจ้าหน้าที่รัฐต้องหาทางยุติการชุมนุมของพันธมิตร
การที่สังคมไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่มิคสัญญีในขณะนี้เป็นผลพวงโดยตรงของความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการจัดการกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองให้อยู่ภายใต้กฎหมายของบ้านเมือง กล่าวได้ว่า ที่ผ่านม าฝ่ายต่าง ๆ ได้ปล่อยปละละเลย จนถึงขั้นอุ้มชูให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนไหวในลักษณะที่ละเมิดกฎเกณฑ์ของบ้านเมืองตลอดมา เสมือนว่ากลุ่มพันธมิตรคืออภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือกฎหมายของประเทศนี้
แน่นอนว่ากลุ่มพันธมิตรมีสิทธิเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นทางการเมืองของตน แต่ผู้นำพันธมิตรจักต้องตระหนักเช่นกันว่า ระบบนิติรัฐคือหัวใจสำคัญของหลักการและกระบวนการประชาธิปไตย กฎหมายมีไว้ปฏิบัติต่อทุกคนในสังคมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน เพราะมันคือหลักประกันว่าสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นจะไม่ถูกละเมิด
แต่การใช้ยุทธวิธีบุกยึดสถานที่สำคัญ ๆ ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เป็นเสมือนการจับเอาประเทศและประชาชนเป็นตัวประกัน ใช้ความเสียหายสุดคณานับเป็นเงื่อนไขเพื่อบีบบังคับให้รัฐบาล ผู้นำกองทัพ และกลุ่มธุรกิจ ต้องจำนนต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มตน จึงเท่ากับบีบบังคับให้คนทั้งประเทศยอมรับต่อกฎเกณฑ์ที่ผู้นำพันธมิตรเป็นผู้กำหนดแต่ฝ่ายเดียว
ฉะนั้น ไม่ว่าเจตน์จำนงของผู้นำพันธมิตรจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่วิธีการที่ดำเนินตลอดมาได้ทำลายความชอบธรรมของกลุ่มพันธมิตรลงแล้วอย่างสิ้นเชิง สังคมไทยต้องไม่ยินยอมให้วิธีการของกลุ่มพันธมิตรกลายเป็นบรรทัดฐานของการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอนาคต
ดังนั้น จึงถึงเวลายุติการชุมนุมของพันธมิตร เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจักต้องหาทางนำประเทศคืนสู่ระบบนิติรัฐโดยปฏิบัติตามคำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ฝ่ายพันธมิตรออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้จักต้องดำเนินไปด้วยความละมุนละม่อม ตามหลักปฏิบัติสากลของการสลายการชุมนุม เพื่อป้องกันความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
2. เราขอประณามการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ผู้นำทุกฝ่ายต้องควบคุมมวลชนของตนให้ตั้งอยู่ในความสงบและปราศจากอาวุธ
เราขอเรียกร้องให้ผู้นำทั้งของพันธมิตร และฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล ยุติการสร้างความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่จะนำประเทศไปสู่การนองเลือด มิคสัญญี และรัฐประหารในที่สุด พวกท่านจักต้องรับผิดชอบให้มวลชนของตนตั้งอยู่ในความสงบ หยุดยั่วยุ ทำร้ายซึ่งกันและกัน และปราศจากการใช้อาวุธใด ๆ ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐจักต้องดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ใช้ความรุนแรงอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่เลิกฝักฝ่าย การเลือกปฏิบัติไม่เพียงแต่จะทำลายความน่าเชื่อถือของกลไกรัฐ แต่จะยังทำให้ความพยายามฟื้นฟูระบบนิติรัฐแก่สังคมไทยเป็นไปได้ยากยิ่ง
เครือข่ายสันติประชาธรรม
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสารสันติภาพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.เกษม เพ็ญภินันท์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อ.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อ.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ที่มา: เครือข่ายสันติประชาธรรม (Rule of Law Thailand), accessed 27/11/2008, from
http://ruleoflawthailand.wordpress.com/
วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
จดหมายถึงพันธมิตรทุกคนที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ในตอนนี้...
ถึง พันธมิตรทุกคนที่ยึดสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ในตอนนี้...
กรุณาอ่านเรื่องด้านล่างนี้แล้วคิดเอาเองว่า เรากำลังจับเขาเหล่านี้เป็นตัวประกันเพียงเพื่อแสดงความสะใจ เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มพวกคุณแค่นั้นหรือ ?
ถ้ามีสมองใหญ่เพียงพอที่จะใช้คิดก่อนทำ .. ก็อยากให้ใช้มันคิดให้มาก มากกว่าใช้อารมณ์และความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่.. ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปมากนัก กลับตัวกลับใจ เดินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเถอะ .. สังคมไทยตลอดจนถึงสังคมโลกคงจะทำใจให้อภัยพวกคุณได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาทำใจบ้าง เพระความสูญเสียที่คุณทำเอาไว้ตอนนี้มันสาหัสนักต่อ สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และ ชื่อเสียง ของประเทศเราในสายตาชาวไทยและประชาคมโลก
ผมไม่มั่นใจว่าผู้โดยสารต่างชาติกว่าสามพันคนที่ติดค้างอยู่ที่นี่อันเนื่องมาจากการลุแก่อำนาจของพวกคุณนั้นมีมาจากกี่ชาติ แต่ที่ผมรู้ก็คือพวกเขาเหล่านี้ถูกบังคับให้เป็นตัวประกันของพวกคุณไปโดยปริยาย
มีหลายๆคนที่เป็นอเมริกันที่เขาเฝ้ารอกลับบ้านเพื่อไปฉลอง Thanks Giving กับครอบครัวของเขาในวันนี้ (27 พย 2551) แต่พวกคุณก้ได้ทำลายความหวังและความสุขของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
พวกคนต่างชาติเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย .. ถ้าคุณต้องการเรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพของพวกคุณ .. แล้วพวกเขาหล่ะ เขาต้องเสียสิทธิเสรีภาพของเขาเหล่านี้เพื่อพวกคุณด้วยเหรอ ?
พวกคุณล้ำเส้นเกินไปมากแล้ว ไตร่ตรองใหม่ พวกคุณไม่ได้แค่จะพยายามทำลายรัฐบาลชุดนี้ให้แหลกคามือเท่านั้น พวกคุณกำลังทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้แหลกคามือไปด้วย และถ้าเหตุการณ์นี้มันบานปลายจนหยุดไม่อยู่ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับพวกทรราชย์ที่พวกคุณปั้นแต่งขึ้นมาด่าใส่เขาทุกวัน และหลังจากนี้ ลูกกหลานของพวกคุณคงจะจารึกประวัติศาสตร์ครั้งนี้ให้พวกคุณใหม่ว่า ... พันธมิตรสามานย์
ด้วยความหวังดียิ่งต่อชาติ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
----------------------------------------------------------------------
นักท่องเที่ยวสวีเดนช้ำ ลูกป่วย ติดแหงกถูกลอยแพที่สุวรรณภูมิ
หนังสือพิมพ์ชั้นนำ Expressen ของสวีเดนรายงานข่าวหน้าหนึ่งในวันนี้ โดยสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่งและลูกสองคนที่ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิหลายชั่วโมงโดยไม่รู้อนาคต
แม็ทส์และแอนนา สามีภรรยาชาวสวีเดน และลูกสองคนอายุสองขวบครึ่งและอีกคนอายุเพียง 11 เดือน ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 3,000 คนเนื่องจากเที่ยวบินถูกยกเลิกถึง 78 เที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวบินจากโคเปนเฮเกน-กรุงเทพ ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่นักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวียนิยมใช้บริการ
แม็ทส์ กล่าวว่า “เด็กๆ ป่วย และเราไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เราประหลาดใจ และตกใจมาก ระหว่างที่เราขึ้นแท็กซี่มาที่สนามบิน เราเห็นคนประท้วง คนเหล่านั้นจำนวนมากมีอาวุธด้วย ในตอนนี้เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้ครอบครัวเราอยู่ที่นี่พร้อมกับเด็กๆ เล็ก เราไม่มีข้อมูลเลย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรเลย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คุณรู้สึกอย่างไร? เขาตอบว่า “ลูกของเราป่วย มันเป็นแย่มาก (damn bad) ลูกของเราปวดท้อง”
ต่อคำถามที่ว่า คุณจะกลับมาประเทศไทยหรือไม่? “มันเป็นเรื่องที่ตอบยากในเวลานี้ เราลังเลกับการกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก บริษัทการบินบอกเราว่า เลือกนอนในห้องโถงของโรงแรมก็ได้ หรือว่าจะพักอยู่ที่สนามบินต่อไป”
อย่างไรก็ตาม “ประชาไท” ได้ขอสัมภาษณ์ เอริค โอเซ็น ชาวสวีเดนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยระยะสั้นเขาให้ความเห็นว่า “คนสวีเดนรักประเทศไทย คนไทยเป็นคนนิสัยดี ตอนเหตุการณ์สีนามิ ก็ขอชมว่ารัฐบาลไทยตั้งใจช่วยเหลือคนสวีเดนเป็นอย่างดี แต่ถ้าสถานการณ์นี้ยังไม่ยุติและดำเนินต่อไป มันจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนและสแกนดิเนเวียลงเป็นจำนวนมาก เพราะว่าสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนและมันยากที่จะคาดเดาได้
ทั้งนี้ในปี 2007 จำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนมีจำนวนกว่า 300,000 คน
ที่มาส่วนหนึ่งเรียบเรียงจากข่าว : Mats och Anna fick sova på golvethttp://www.expressen.se/Nyheter/1.1382160/mats-och-anna-fick-sova-pa-golvet
กรุณาอ่านเรื่องด้านล่างนี้แล้วคิดเอาเองว่า เรากำลังจับเขาเหล่านี้เป็นตัวประกันเพียงเพื่อแสดงความสะใจ เพียงเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกลุ่มพวกคุณแค่นั้นหรือ ?
ถ้ามีสมองใหญ่เพียงพอที่จะใช้คิดก่อนทำ .. ก็อยากให้ใช้มันคิดให้มาก มากกว่าใช้อารมณ์และความรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่.. ทุกอย่างยังไม่สายเกินไปมากนัก กลับตัวกลับใจ เดินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเถอะ .. สังคมไทยตลอดจนถึงสังคมโลกคงจะทำใจให้อภัยพวกคุณได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาทำใจบ้าง เพระความสูญเสียที่คุณทำเอาไว้ตอนนี้มันสาหัสนักต่อ สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และ ชื่อเสียง ของประเทศเราในสายตาชาวไทยและประชาคมโลก
ผมไม่มั่นใจว่าผู้โดยสารต่างชาติกว่าสามพันคนที่ติดค้างอยู่ที่นี่อันเนื่องมาจากการลุแก่อำนาจของพวกคุณนั้นมีมาจากกี่ชาติ แต่ที่ผมรู้ก็คือพวกเขาเหล่านี้ถูกบังคับให้เป็นตัวประกันของพวกคุณไปโดยปริยาย
มีหลายๆคนที่เป็นอเมริกันที่เขาเฝ้ารอกลับบ้านเพื่อไปฉลอง Thanks Giving กับครอบครัวของเขาในวันนี้ (27 พย 2551) แต่พวกคุณก้ได้ทำลายความหวังและความสุขของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว
พวกคนต่างชาติเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย .. ถ้าคุณต้องการเรียกร้องเพื่อสิทธิเสรีภาพของพวกคุณ .. แล้วพวกเขาหล่ะ เขาต้องเสียสิทธิเสรีภาพของเขาเหล่านี้เพื่อพวกคุณด้วยเหรอ ?
พวกคุณล้ำเส้นเกินไปมากแล้ว ไตร่ตรองใหม่ พวกคุณไม่ได้แค่จะพยายามทำลายรัฐบาลชุดนี้ให้แหลกคามือเท่านั้น พวกคุณกำลังทำลายชาติบ้านเมืองของเราให้แหลกคามือไปด้วย และถ้าเหตุการณ์นี้มันบานปลายจนหยุดไม่อยู่ พวกคุณก็ไม่ต่างอะไรกับพวกทรราชย์ที่พวกคุณปั้นแต่งขึ้นมาด่าใส่เขาทุกวัน และหลังจากนี้ ลูกกหลานของพวกคุณคงจะจารึกประวัติศาสตร์ครั้งนี้ให้พวกคุณใหม่ว่า ... พันธมิตรสามานย์
ด้วยความหวังดียิ่งต่อชาติ
สมนึก จงมีวศิน
(หนึ่งในประชาชนที่เดือดร้อนจากการกระทำของพวกพันธมิตรจากการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ)
----------------------------------------------------------------------
นักท่องเที่ยวสวีเดนช้ำ ลูกป่วย ติดแหงกถูกลอยแพที่สุวรรณภูมิ
หนังสือพิมพ์ชั้นนำ Expressen ของสวีเดนรายงานข่าวหน้าหนึ่งในวันนี้ โดยสัมภาษณ์สามีภรรยาคู่หนึ่งและลูกสองคนที่ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิหลายชั่วโมงโดยไม่รู้อนาคต
แม็ทส์และแอนนา สามีภรรยาชาวสวีเดน และลูกสองคนอายุสองขวบครึ่งและอีกคนอายุเพียง 11 เดือน ติดอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิพร้อมกับผู้โดยสารกว่า 3,000 คนเนื่องจากเที่ยวบินถูกยกเลิกถึง 78 เที่ยวบิน รวมถึงเที่ยวบินจากโคเปนเฮเกน-กรุงเทพ ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่นักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวียนิยมใช้บริการ
แม็ทส์ กล่าวว่า “เด็กๆ ป่วย และเราไม่ได้รับการแจ้งข้อมูลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป มันเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก เราประหลาดใจ และตกใจมาก ระหว่างที่เราขึ้นแท็กซี่มาที่สนามบิน เราเห็นคนประท้วง คนเหล่านั้นจำนวนมากมีอาวุธด้วย ในตอนนี้เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้ครอบครัวเราอยู่ที่นี่พร้อมกับเด็กๆ เล็ก เราไม่มีข้อมูลเลย เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกอะไรเลย
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คุณรู้สึกอย่างไร? เขาตอบว่า “ลูกของเราป่วย มันเป็นแย่มาก (damn bad) ลูกของเราปวดท้อง”
ต่อคำถามที่ว่า คุณจะกลับมาประเทศไทยหรือไม่? “มันเป็นเรื่องที่ตอบยากในเวลานี้ เราลังเลกับการกลับมาเที่ยวเมืองไทยอีก บริษัทการบินบอกเราว่า เลือกนอนในห้องโถงของโรงแรมก็ได้ หรือว่าจะพักอยู่ที่สนามบินต่อไป”
อย่างไรก็ตาม “ประชาไท” ได้ขอสัมภาษณ์ เอริค โอเซ็น ชาวสวีเดนที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยระยะสั้นเขาให้ความเห็นว่า “คนสวีเดนรักประเทศไทย คนไทยเป็นคนนิสัยดี ตอนเหตุการณ์สีนามิ ก็ขอชมว่ารัฐบาลไทยตั้งใจช่วยเหลือคนสวีเดนเป็นอย่างดี แต่ถ้าสถานการณ์นี้ยังไม่ยุติและดำเนินต่อไป มันจะลดจำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนและสแกนดิเนเวียลงเป็นจำนวนมาก เพราะว่าสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนและมันยากที่จะคาดเดาได้
ทั้งนี้ในปี 2007 จำนวนนักท่องเที่ยวจากสวีเดนมีจำนวนกว่า 300,000 คน
ที่มาส่วนหนึ่งเรียบเรียงจากข่าว : Mats och Anna fick sova på golvethttp://www.expressen.se/Nyheter/1.1382160/mats-och-anna-fick-sova-pa-golvet
แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน .. เรื่อง ประณามการร่วมสร้างภาวะมิคสัญญีในการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ
เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการเคลื่อนไหวของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องการสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยโดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อนำไปสู่การดึงเอาอำนาจนอกระบบเข้ามาเป็นกลไกในการแก้ไขปัญหา ดังเห็นได้จากการเคลื่อนไหวแบบสุ่มเสี่ยง การเข้ายึดสถานที่ราชการและสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ สนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบและความเสียหายที่จะติดตามมาแม้แต่น้อย ทั้งหมดกำลังนำพาสังคมไทยไปสู่ความหายนะอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในห้วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องมิใช่เพียงการระดมผู้คนเข้าร่วมโดยแกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความหายนะที่เกิดขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ โดยมีบุคคลและองค์กรที่มีบทบาทสำคัญดังต่อไปนี้
1. ปัญญาชนสาธารณะและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ นพ.ประเวศ วะสี, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีบทบาทต่อการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ รวมถึงบรรดานักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่ได้ช่วยให้เกิดขบวนการพันธมิตรฯ ขึ้น แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามิใช่เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของอารยะขัดขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมประชาธิปไตย
2. ส.ว. กลุ่ม 40 และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งได้เข้าร่วมอย่างแข็งขันทั้งในการเข้าร่วมปราศรัย การให้สัมภาษณ์สนับสนุนแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ โดยทั้งนี้ เพื่อมุ่งประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ของบ้านเมืองและการสร้างระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรมในระยะยาว
3. สื่อมวลชนที่ไม่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ได้เสนอข่าวที่เป็นด้านบวกแก่สนับสนุนพันธมิตรฯ มาอย่างต่อเนื่อง แนวทางการเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ได้เป็นการนำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจรอบด้านแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ดำเนินการโดยภาษีของประชาชนทั้งหมด
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องบุคคลและองค์กรดังกล่าวได้แสดงความรับผิดชอบต่อความหายนะที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย ในฐานะที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนและค้ำยันต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ด้วยการยอมรับความผิดพลาดและแสดงความเห็นวิจารณ์ต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการตรวจสอบและหยุดยั้งการกระทำรุนแรงของแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นอันตรายต่อสังคมทั้งหมดดังที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญเพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นไปจากภาวะมิคสัญญีที่ไร้ขื่อแป และสร้างสังคมประชาธิปไตยที่การแสดงความคิดเห็นและการเคลื่อนไหวต่างๆ ดำเนินไปบนหลักนิติธรรมและการเคารพต่อสังคมโดยรวม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
26 พฤศจิกายน 2551
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในห้วงระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา สามารถดำรงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องมิใช่เพียงการระดมผู้คนเข้าร่วมโดยแกนนำพันธมิตรฯ เท่านั้น ส่วนหนึ่งและส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการสนับสนุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในความหายนะที่เกิดขึ้นมาจากการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ โดยมีบุคคลและองค์กรที่มีบทบาทสำคัญดังต่อไปนี้
1. ปัญญาชนสาธารณะและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน อาทิ นพ.ประเวศ วะสี, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มีบทบาทต่อการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ รวมถึงบรรดานักวิชาการและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจำนวนมากที่ได้ช่วยให้เกิดขบวนการพันธมิตรฯ ขึ้น แม้จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามิใช่เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะของอารยะขัดขืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ในสังคมประชาธิปไตย
2. ส.ว. กลุ่ม 40 และพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งได้เข้าร่วมอย่างแข็งขันทั้งในการเข้าร่วมปราศรัย การให้สัมภาษณ์สนับสนุนแนวทางการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ โดยทั้งนี้ เพื่อมุ่งประโยชน์ของตนมากกว่าประโยชน์ของบ้านเมืองและการสร้างระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีความชอบธรรมในระยะยาว
3. สื่อมวลชนที่ไม่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาซึ่งรวมถึงสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ได้เสนอข่าวที่เป็นด้านบวกแก่สนับสนุนพันธมิตรฯ มาอย่างต่อเนื่อง แนวทางการเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ได้เป็นการนำเสนอข่าวที่ทำให้เกิดความเข้าใจรอบด้านแต่อย่างใด ทั้งที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ดำเนินการโดยภาษีของประชาชนทั้งหมด
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนขอเรียกร้องบุคคลและองค์กรดังกล่าวได้แสดงความรับผิดชอบต่อความหายนะที่เกิดขึ้นกับสังคมไทย ในฐานะที่เป็นผู้ให้การสนับสนุนและค้ำยันต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ด้วยการยอมรับความผิดพลาดและแสดงความเห็นวิจารณ์ต่อการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการตรวจสอบและหยุดยั้งการกระทำรุนแรงของแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งกำลังเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นอันตรายต่อสังคมทั้งหมดดังที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญเพื่อให้สังคมไทยหลุดพ้นไปจากภาวะมิคสัญญีที่ไร้ขื่อแป และสร้างสังคมประชาธิปไตยที่การแสดงความคิดเห็นและการเคลื่อนไหวต่างๆ ดำเนินไปบนหลักนิติธรรมและการเคารพต่อสังคมโดยรวม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
26 พฤศจิกายน 2551
บทกลอนสะท้อนความจริงที่สุวรรณภูมิ ...แต่งโดย "ว ณ ปากนัง"
ประเทศไทย ตัวประกัน ของพันธมิตร
ที่วิปริต คลุ้มคลั่ง ทั้งสับสน
มุ่งต่อรอง ครองอำนาจ ประกาศตน
ช่วงชิงปล้น ทุกคน เป็นตัวประกัน
สนามบิน สุวรรณภูมิ คือหน้าตา
ถูกคนบ้า สาดน้ำกรด รดโศกศัลย์
เพียงเพื่อหวัง ให้ทุกคน ตามใจมัน
ตัวประกัน คือชาติ โอ้ชาติไทย
ผู้หนุนหลัง พันธมิตร จงคิดตรอง
สิ่งเรียกร้อง เกินไป ใช้ไม่ได้
สิ่งที่ทำ คืออนาธิปไตย
อำนาจใหญ่นอกระบบควรลบไป
ขอประณาม อำนาจ นอกระบบ
ไม่เคารพ ปวงชน คนส่วนใหญ่
พาประเทศ ถอยหลัง เหมือนตั้งใจ
รักษาไว้ อภิสิทธิ์ อิทธิพล
ขอประณาม ผู้ละเว้น ทำหน้าที่
จนไม่มี ศักดิ์ศรี เท่าเส้นขน
ปล่อยคนผิด ทำผิด จนฤทธิ์ล้น
บังเกิดผล กลียุค ขุกแค้นเคือง
ที่มา: ว ณ ปากนัง..
http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=14614&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai )
ที่วิปริต คลุ้มคลั่ง ทั้งสับสน
มุ่งต่อรอง ครองอำนาจ ประกาศตน
ช่วงชิงปล้น ทุกคน เป็นตัวประกัน
สนามบิน สุวรรณภูมิ คือหน้าตา
ถูกคนบ้า สาดน้ำกรด รดโศกศัลย์
เพียงเพื่อหวัง ให้ทุกคน ตามใจมัน
ตัวประกัน คือชาติ โอ้ชาติไทย
ผู้หนุนหลัง พันธมิตร จงคิดตรอง
สิ่งเรียกร้อง เกินไป ใช้ไม่ได้
สิ่งที่ทำ คืออนาธิปไตย
อำนาจใหญ่นอกระบบควรลบไป
ขอประณาม อำนาจ นอกระบบ
ไม่เคารพ ปวงชน คนส่วนใหญ่
พาประเทศ ถอยหลัง เหมือนตั้งใจ
รักษาไว้ อภิสิทธิ์ อิทธิพล
ขอประณาม ผู้ละเว้น ทำหน้าที่
จนไม่มี ศักดิ์ศรี เท่าเส้นขน
ปล่อยคนผิด ทำผิด จนฤทธิ์ล้น
บังเกิดผล กลียุค ขุกแค้นเคือง
ที่มา: ว ณ ปากนัง..
http://www.prachatai.com/05web/th/home/comment.php?mod=mod_ptcms&ContentID=14614&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai )
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ข่าวฝากประชาสัมพันธ์:22 พ.ย. เสวนาเรื่อง สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม- รัฐสวัสดิการ ?
การเสวนา เรื่อง
สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม- รัฐสวัสดิการ ?
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551
ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค ดินแดง กทม.
จัดโดย
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับ
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท
09.00-09.30 ลงทะเบียน
09.30-09.40 กล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)
09.40-11.00 เสวนา เรื่อง สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมกับการพัฒนารัฐสวัสดิการในสังคมไทย
ประเด็น
นำเสนอโดย
ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร. สุรพล ปธานวนิช คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คุณสุนี ไชยรส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
คุณไพโรจน์ พลเพชร ประธาน กป.อพช.
ดำเนินรายการโดย ดร. นภาพร อติวานิชยพงศ์ สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11.00-11.15 พัก
11.15-12.30 ซักถามและอภิปรายทั่วไป
12.30-13.30 อาหารกลางวัน
13.30-14.30 กลุ่มย่อย- แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
14.30-15.30 นำเสนอและอภิปรายทั่วไป
15.30 สรุปและปิดการเสวนา
สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคม- รัฐสวัสดิการ ?
วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2551
ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค ดินแดง กทม.
จัดโดย
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) ร่วมกับ
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท
09.00-09.30 ลงทะเบียน
09.30-09.40 กล่าวต้อนรับและชี้แจงวัตถุประสงค์
มูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)
09.40-11.00 เสวนา เรื่อง สิทธิทางเศรษฐกิจและสังคมกับการพัฒนารัฐสวัสดิการในสังคมไทย
ประเด็น
นำเสนอโดย
ดร. ปัทมาวดี ซูซูกิ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ดร. สุรพล ปธานวนิช คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คุณสุนี ไชยรส คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
คุณไพโรจน์ พลเพชร ประธาน กป.อพช.
ดำเนินรายการโดย ดร. นภาพร อติวานิชยพงศ์ สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11.00-11.15 พัก
11.15-12.30 ซักถามและอภิปรายทั่วไป
12.30-13.30 อาหารกลางวัน
13.30-14.30 กลุ่มย่อย- แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
14.30-15.30 นำเสนอและอภิปรายทั่วไป
15.30 สรุปและปิดการเสวนา
วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
คุณขอมา: ชีวประวัติโดยย่อของ "Henry David Thoreau", ผู้ให้กำเนิด "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)"

เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เขาคือนักเขียน นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ นักปรัชญาประชาธิปไตยผู้ให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกชน (Individualism) และเขาคือผู้ให้กำเนิดความหมายของคำว่า "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)" บนโลกใบนี้
เขาได้บันทึกในความเรียงที่ชื่อ Civil Disobedience ชื่อเดิมคือ Resistance to Civil Government ตีพิมพ์ครั้งแรกในปีพ.ศ.2392 (ค.ศ.1849) โดยใจความสำคัญตอนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหมายของการอารยะขัดขืนซึ่งไม่ได้หมายความถึงการขัดขืนดื้อด้านโดยการทำบ้านเมืองให้ตกอยู่ในสภาวะอนาธิปไตยเลย หากแต่ความหมายของมันคือการขัดขืนเชิงสัญลักษณ์ล้วนๆ เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเย้ยหยันที่ได้เห็นความเหนื่อยยากในการลั่นดาลประตูเสียแข็งแกร่ง เพื่อกักขังความคิดของข้าพเจ้า ซึ่งกลับเล็ดลอดออกไปข้างนอกได้อีกครั้งโดยปราศจากอุปสรรคใดๆ และมีเพียงความคิดเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นอันตรายอย่างแท้จริง (Thoreau 2003)" และอีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับความชอบธรรมของรัฐที่ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยได้หากว่าการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดนั้นๆถูกมองว่าเป็นเพียงการกระทำที่ปราศจากความเป็นมนุษย์ เขาสรุปว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองในอันดับถัดไป คงจะไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม (Thoreau 2003)"
จากข้อมูลของวิกิพีเดีย (วิกิพีเดีย 2008) บันทึกไว้ว่า ธอโรเกิดเมื่อวันที่12 กรกฎาคม พ.ศ. 2360 (ค.ศ. 1817) ณ เมืองคองคอร์ด รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เมื่อจบการศึกษาในปีพ.ศ. 2380 (ค.ศ. 1837) ธอโรเดินทางกลับไปบ้านเกิดและคบหาเป็นมิตรกับ ราล์ฟ วอลโด เอเมอร์สัน กวีชื่อดังของอเมริกาซึ่งแนะนำงานเขียนของธอโรให้ได้รับการตีพิมพ์ ธอโรทำงานในโรงงานดินสอของบิดา และเป็นครูในโรงเรียนของพี่ชายอยู่ระยะหนึ่ง
ในระหว่างปี พ.ศ. 2388-2390 (ค.ศ. 1845 - 1847) ธอโรทดลองใช้ชีวิตเรียบง่ายในกระท่อมที่สร้างด้วยตนเองบนที่ดินของอีเมอร์สัน ริมบึงวอลเดน อันเป็นที่มาของงานเขียน Walden หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Life in the Woods ที่มีชื่อเสียง ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2397 (ค.ศ.1854)
ในระหว่างที่อาศัยที่บึงวอลเดนนั้นเขาปฏิเสธที่จะจ่ายภาษี (Poll Tax) ให้กับรัฐด้วยเหตุว่าไม่เห็นด้วยกับสงครามแย่งชิงดินแดนที่อเมริกากระทำต่อประเทศเม็กซิโก (Maxican War) ระหว่างปี พ.ศ. 2389 - 2391(ค.ศ. 1846 - 1848) และนโยบายเรื่องทาสในอเมริกา ธอโรถูกจับขังหนึ่งคืนและนำไปสู่ความเรียงเรื่อง "ต้านอำนาจรัฐ" หรือ "อารยะขัดขืน (Civil Disobedience)" ที่ได้เกริ่นนำไว้ในตอนต้น ในที่สุดเพื่อนๆของเขาต้องเป็นผู้ประกันเขาออกมาจากคุกและจ่ายค่าปรับทั้งหมดให้กับรัฐแทนตัวเขา จะเห็นได้ว่าต้นแบบอารยะขัดขืนโดยธอโรนั้นเมื่อเขาตั้งใจกระทำการละเมิดต่อกฎหมายเพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมที่จะปฎิบัติตามกฎหมายของรัฐหากแต่เขาก็ยอมรับผลของการละเมิดกฎหมายนั้นด้วยโดยไม่คิดต่อสู้หรือหลบหนี
ซึ่งความเรียง Civil Disobedience นี้ได้ส่งอิทธิพลต่อ มหาตมะ คานธี และ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ในการดำเนินการทางการเมืองในยุคต่อมา โดยเฉพาะการอารยะขัดขืนตามวิถีของธอโรนี้เป็นไปเพื่อความถูกต้องซึ่งพ้องกับหลักการทำสัตยาเคราะห์ของคานธีที่เน้นย้ำเรื่องสันติและอหิงสานั่นเอง
ธอโรถือว่าเป็นปัจเจกชนที่ชอบทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาสนใจศึกษาธรรมชาติและทาน มังสวิรัติ ธอโรติดวัณโรค ตั้งแต่ พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) จนเสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862)
ธอโรถือว่าเป็นปัจเจกชนที่ชอบทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาสนใจศึกษาธรรมชาติและทาน มังสวิรัติ ธอโรติดวัณโรค ตั้งแต่ พ.ศ. 2378 (ค.ศ. 1835) จนเสียชีวิตในวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862)
ที่มา:
1.Thoreau,HD 2003,Walden and Civil Disobedience, Barnes & Noble, New York
2.วิกิพีเดีย 2008, เฮนรี เดวิด ธอโร, accessed 5/11/2008, from
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
คุณขอมา: ชีวประวัติโดยย่อของ "เทียนวรรรณ"
คำอธิบายเกี่ยวกับเทียนวรรณอย่างคร่าวๆในโลกออนไลน์ (วิกิพีเดีย ๒๕๕๑) ได้พูดถึง นามปากกา เทียนวรรณ หรือ ต.ว.ส. วัณณาโภ ว่าเป็นนามปากกาของ เทียน วัณณาโภ (พ.ศ. ๒๓๘๕ - พ.ศ. ๒๔๕๘) ซึ่งมีอาชีพทนายความ และเป็นนักคิดนักเขียนคนสำคัญ ที่มีบทความวิพากษ์ด้านนโยบายการต่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ และด้านการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๖
จากหนังสือรวมชีวประวัติของเทียนวรรณเรียบเรียงโดยสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) และบทคัดย่อบางส่วนของหนังสือหนึ่งร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน (หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑) ได้บันทึกไว้ว่า .. เทียนวรรณ เดิม ชื่อ เทียน นามสกุล วัณณาโภ เกิดในปี ๒๓๘๕ ในปลายรัชกาลที่ ๓ ที่บางขุนเทียน มาจาก ตระกูลใหญ่ที่มีเลือดผสมระหว่างทหารกับพลเรือน เป็นคนที่มีความจำและไหวพริบดีมา แต่เด็ก ตอนเด็กได้เล่าเรียนที่บ้าน อายุ ๘ ขวบได้ไปเรียนหนังสือไทยกับหนังสือขอมกับ พระที่วัดโพธิ์ รวมทั้งได้เรียนวิชามวย และเวทมนตร์คาถาด้วย ตอนรุ่นหนุ่มเป็นนักเลง ประเภทมีศีลธรรม ไม่ข่มเหงผู้ใดก่อน พ่อของเทียนวรรณ เสียตั้งแต่ตอนเขาอายุ ๑๓ ปี และแม่ได้แต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นคนดีมีศีลธรรม ผู้ได้กล่อมเกลาให้เขามีนิสัยละ มุนละไมขึ้น ประสบการณ์ที่สำคัญคือ การที่เขาเริ่มทำงานค้าขายทางเรือถึงสวรรคโลกและ กำแพงเพชร ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ตอนอายุ ๑๙ ปีได้ทำงานเรือกำปั่น ได้ไปถึงซัวเถา ฮ่องกง เอ้หมึง และเซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา ๑๕ เดือน กลับมาได้ทั้งความรู้และเงินที่เก็บไว้ หลังจากนั้นเขาก็บวชที่วัดบวรนิเวศถึง ๔ พรรษา ได้เรียนทั้งพระธรรมวินัย และภาษาอังกฤษ ได้ศึกษาอยู่ท่ามกลางนักปราชญ์ เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา) และรัชกาลที่ ๔ สมัยที่ยังทรงผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศบ่อยครั้ง เขาลาสิกขาบท เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี และเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ ฟังข่าวสารการเมือง ซื้อและเช่าหนังสือ ใหม่ๆ มาอ่านเสมอ เมื่ออายุ ๒๖ ปี ได้ไปค้าขายถึงสิงคโปร์ หลังจากนั้นก็วิ่งค้าขายไปๆ มาๆ ตามหัวเมืองต่างๆ ของไทย และคบค้าสมาคมกับเจ้านายและผู้ลากมากดี ผู้พอใจที่ เห็นเขาเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความคิดใหม่ๆ
เทียนวรรณเริ่มเห็นปัญหาว่า การที่พวกเจ้านายและผู้ดีมีเมียมาก เป็นบ่อเกิดแห่งความทุจริต เพราะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก รวมทั้งคนแก่ที่มีเมียมาก ก็ไม่สามารถให้ความสุขภรรยาได้อย่างทั่วถึง
เทียนวรรณ มีภรรยาทั้งหมด ๓ คน แต่ก็มีครั้งละคน คือ หย่าหรือเลิกกับคน หนึ่งแล้วจึงมีคนถัดมา
เทียนวรรณเริ่มเขียนบทความแสดงความคิดเห็นให้ปรับปรุงราชการงาน เมือง ตอนที่เขาอายุ ๓๐ ปี โดยมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าหลายข้อ เช่น ให้เลิกทาส ให้เลิก การพนันบ่อนเบี้ย ให้ปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลและความไม่เป็นธรรม ให้มีสภาผู้ แทน บทความที่เขาเขียนบางครั้งไม่มีหนังสือพิมพ์ไหนลงให้ เขาก็จะยกให้ผู้มีสตางค์ พิมพ์เป็นหนังสือแจกงานศพบ้าง หรือพิมพ์แจกเอกบ้าง ในช่วงที่เขาไปอยู่จังหวัด ตราดและจันทบุรีกับภรรยาคนแรก เขาได้ศึกษากฎหมายด้วยตนเองอย่างจริงจัง และ กลับมาอยู่กรุงเทพตอนอายุ ๓๓ ปี และทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมาย รวมทั้งศึกษา ด้วยตนเอง อ่านหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษอย่างต่อเนื่องเขาเขียนทั้งบทความ, บันทึกประจำวัน, กาพย์กลอน รวมทั้งไปพูดแสดงความคิดเห็นทั้งตามวังเจ้านายและ ตามวัด
เขาเป็นคนแรกๆ ที่เห็นความสำคัญของผู้หญิงว่า รัฐบาลควรจะให้การศึกษาทัดเทียมกับชาย เขาทำงานเป็นทนายความแบบนักอุดมคติ ช่วยให้คนจนได้รับความยุติธรรม ตอนที่เทียนวรรณอายุ ๔๐ เขาถูกฟ้องร้อง กรณีเขียนฎีกาให้กับราษฎรผู้หนึ่ง และถูกตัดสินว่าหมิ่นตราพระราชสีห์ ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ หมิ่นประมาทเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรถูกเฆี่ยน ๕๐ ที และ ถูกขังคุกโดยไม่มีกำหนด
สงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) วิเคราะห์ว่าเทียนวรรณคงจะถูกผู้ใหญ่กลั่นแกล้ง เพราะเทียนวรรณเป็นคนปากโป้ง ชอบเปิดโปง ความชั่วของผู้อื่นอย่างไม่กลัวเกรงอิทธิพลใดๆ
ในช่วง ๒ ปีแรก เทียนวรรณถูกขังแบบใส่ขื่อคาครบห้า คือ ทั้งที่คอ มือ และเท้า ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับเขามาก แต่เขาก็ยังมีจิตใจ เข้มแข็ง อ่านและทำบันทึก เขียนหนังสือ เขาได้รายงานความทารุณในคุกให้ผู้ใหญ่ คือ กรมหลวงราชบุรีฯ ทราบ จนมีคำสั่งให้ปลดโซ่ที่คอออกจากนักโทษทุกคน หลังจากนั้นเขาก็มีโอกาสเขียนหนังสือ ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ส่งไปพิมพ์นอกคุก เขาต้องโทษจำคุกอยู่เกือบ ๑๗ ปี ได้พ้นโทษ เพราะการช่วยเหลือวิ่งเต้นของขุน หลวงพระยาไกรศรี (เปล่ง) ระหว่างที่ติดคุกเขียนหนังสือไว้ ๒๘ เรื่องด้วยกัน ทั้งเรื่องวิจารณ์ลัทธิเมืองขึ้นของฝรั่ง, เรื่องให้เปลี่ยนขนบธรรมเนียมบ้านเมือง และงานชิ้นอื่นๆ
หลังจากออกจากคุก เทียนวรรณอายุ ๕๘ แต่ยังมีไฟในการทำงานมีผู้อุปการะให้เทียนวรรณยืมเงินเปิดสำนักทนายความขึ้น รวมทั้งเปิดร้านขายยาอีกแผนกหนึ่งเพื่อหารายได้มาจุนเจือ ดำเนินอาชีพทนายได้ ๒ ปี พอปีที่ ๓ คือใน พ.ศ.๒๔๔๓ ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อว่า "ตุลวิภาคพจนกิจ" ซึ่งมีความหมายว่า หนังสือพิมพ์นี้มุ่งจะเสนอข่าวสารที่ตรงไปตรงมาประดุจตาชั่ง หนังสือ พิมพ์นี้อยู่ได้ ๖ ปีก็หยุดเพราะขาดทุน และเพราะเทียนวรรณเหนื่อยอ่อนลงเนื่อง จากอายุมาก (อายุประมาณ ๖๒-๖๓ ปี) แต่เขาก็พิมพ์หนังสือขึ้นอีกชุดหนึ่ง (รวม ๑๒ เล่ม) ให้ชื่อว่า "ศิริพจนภาค" เป็นการรวมงานวรรณกรรมที่เขาเขียนตั้งแต่ อายุ ๓๓ ปีเป็นต้นมา ทั้งบทความวิจารณ์การเมือง เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย, เรียกร้องให้เลิกทาส, โจมตีการทุจริตฉ้อฉลของข้าราชการ, เสนอโครงการ ๓๔ ข้อให้รัฐบาลปรับปรุงชาติ ซึ่งหลายข้อรัฐบาลก็มาทำในภายหลัง, โจมตีระบบมีเมียมาก, โจมตีการพนัน, ปลุกใจให้คนรักชาติ, เสนอแนะการปราบการทุจริตฉ้อโกงการปฏิรูประบบยุติธรรม, การวิจารณ์สังคม รวมทั้งการวิจารณ์วรรณกรรมไทย เรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
ในมุมมองของสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) อาจถือได้ว่าเทียนวรรณเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมคนแรกของสยามประเทศด้วย
เทียนวรรณนั้นเขียนบทความด้วยการใช้ถ้อยคำง่ายชัดเจน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างเช่นที่เขาเรียกว่า โรคของแผ่นดิน หรือโรคของประเทศราชการบ้านเมือง คือ เจ้านายเสนาบดี อธิบดี พนักงานทุกระดับ "ประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมาย ใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรม ทุจริตในใจตน มิได้เมตตาจิตแก่ผู้น้อย และเพื่อนมนุษย์.... มิได้มีหิริโอตตับปะ ธรรม เกรงบาปหรือกลัวกรรม มุ่งแต่จะหาลาภยศใส่ตนในทางทุจริต กลับ ความจริงให้เป็นเท็จ กลับความเท็จให้เป็นจริง"
ขณะเดียวกัน เทียนวรรณก็วิเคราะห์ โรคของสามัญชน อย่างวิพากษ์ วิจารณ์ตรงไปตรงมาเช่นกัน โดยเขาเขียนว่า "ฝูงราษฎรเป็นคนโง่เขลา ปราศจากสติปัญญาวิชาความรู้ มีสันดานหยาบช้าสามาน ประกอบการทุจริตชั่วร้ายต่างๆ เต็มไปด้วยการเล่น พะนันอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนาและบ้านเมืองของตน"
แนวคิดของเทียนวรรณในด้านต่างๆเท่าที่รวบรวมเป็นกลุ่มๆได้มีดังนี้ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕; หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑)
- ด้านนโยบายต่างประเทศ เขาแนะนำให้รัฐบาลไทยผูกมิตรไมตรีกับจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อต้านทานจักรพรรดินิยมฝรั่งเศส
- ด้านการเมือง เขาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย
- ด้านเศรษฐกิจ เขาเรียกร้องให้ยกเลิกบ่อนการพนัน ซึ่งเขาเห็นว่าทำให้พลเมืองโง่เขลา ถูกมอมเมา เกียจคร้าน และเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายอื่นๆ ตามมา และเสนอให้ เอาเงินหลวงออกให้ราษฎรกู้ไปทำทุน ส่งเสริมการตั้งโรงงาน การค้นคว้าทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการศึกษา เขาเสนอให้รัฐจัดการศึกษาให้ไพร่และสตรีอย่างเท่าเทียมกับผู้ดีและบุรุษ ชักชวนให้ผู้มีเงินหันมาสร้างโรงเรียนแทนวัด ต้านโครงสร้างสังคมที่เขาเห็นว่าต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อปราบการทุจริตฉ้อฉล การเล่นพรรคเล่นพวก และ ความไม่ยุติธรรม
ที่มา:
1. สุริยินทร์, ส ๒๔๙๕, เทียนวรรณ, รวมสาส์น, กรุงเทพฯ.
2. วิกิพีเดีย ๒๕๕๑, เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93
3. หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑, สังคมวิทยา มนุษยวิทยา ประวัติศาสตร์สังคม: เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://www.geocities.com/thaibooks_100/84.htm
จากหนังสือรวมชีวประวัติของเทียนวรรณเรียบเรียงโดยสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) และบทคัดย่อบางส่วนของหนังสือหนึ่งร้อยเล่มที่คนไทยควรอ่าน (หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑) ได้บันทึกไว้ว่า .. เทียนวรรณ เดิม ชื่อ เทียน นามสกุล วัณณาโภ เกิดในปี ๒๓๘๕ ในปลายรัชกาลที่ ๓ ที่บางขุนเทียน มาจาก ตระกูลใหญ่ที่มีเลือดผสมระหว่างทหารกับพลเรือน เป็นคนที่มีความจำและไหวพริบดีมา แต่เด็ก ตอนเด็กได้เล่าเรียนที่บ้าน อายุ ๘ ขวบได้ไปเรียนหนังสือไทยกับหนังสือขอมกับ พระที่วัดโพธิ์ รวมทั้งได้เรียนวิชามวย และเวทมนตร์คาถาด้วย ตอนรุ่นหนุ่มเป็นนักเลง ประเภทมีศีลธรรม ไม่ข่มเหงผู้ใดก่อน พ่อของเทียนวรรณ เสียตั้งแต่ตอนเขาอายุ ๑๓ ปี และแม่ได้แต่งงานใหม่กับพ่อเลี้ยง ซึ่งเป็นคนดีมีศีลธรรม ผู้ได้กล่อมเกลาให้เขามีนิสัยละ มุนละไมขึ้น ประสบการณ์ที่สำคัญคือ การที่เขาเริ่มทำงานค้าขายทางเรือถึงสวรรคโลกและ กำแพงเพชร ตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ตอนอายุ ๑๙ ปีได้ทำงานเรือกำปั่น ได้ไปถึงซัวเถา ฮ่องกง เอ้หมึง และเซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา ๑๕ เดือน กลับมาได้ทั้งความรู้และเงินที่เก็บไว้ หลังจากนั้นเขาก็บวชที่วัดบวรนิเวศถึง ๔ พรรษา ได้เรียนทั้งพระธรรมวินัย และภาษาอังกฤษ ได้ศึกษาอยู่ท่ามกลางนักปราชญ์ เช่น สมเด็จพระสังฆราช (สา) และรัชกาลที่ ๔ สมัยที่ยังทรงผนวชและเสด็จมาประทับที่วัดบวรนิเวศบ่อยครั้ง เขาลาสิกขาบท เมื่ออายุได้ ๒๕ ปี และเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ ฟังข่าวสารการเมือง ซื้อและเช่าหนังสือ ใหม่ๆ มาอ่านเสมอ เมื่ออายุ ๒๖ ปี ได้ไปค้าขายถึงสิงคโปร์ หลังจากนั้นก็วิ่งค้าขายไปๆ มาๆ ตามหัวเมืองต่างๆ ของไทย และคบค้าสมาคมกับเจ้านายและผู้ลากมากดี ผู้พอใจที่ เห็นเขาเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีความคิดใหม่ๆ
เทียนวรรณเริ่มเห็นปัญหาว่า การที่พวกเจ้านายและผู้ดีมีเมียมาก เป็นบ่อเกิดแห่งความทุจริต เพราะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก รวมทั้งคนแก่ที่มีเมียมาก ก็ไม่สามารถให้ความสุขภรรยาได้อย่างทั่วถึง
เทียนวรรณ มีภรรยาทั้งหมด ๓ คน แต่ก็มีครั้งละคน คือ หย่าหรือเลิกกับคน หนึ่งแล้วจึงมีคนถัดมา
เทียนวรรณเริ่มเขียนบทความแสดงความคิดเห็นให้ปรับปรุงราชการงาน เมือง ตอนที่เขาอายุ ๓๐ ปี โดยมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าหลายข้อ เช่น ให้เลิกทาส ให้เลิก การพนันบ่อนเบี้ย ให้ปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลและความไม่เป็นธรรม ให้มีสภาผู้ แทน บทความที่เขาเขียนบางครั้งไม่มีหนังสือพิมพ์ไหนลงให้ เขาก็จะยกให้ผู้มีสตางค์ พิมพ์เป็นหนังสือแจกงานศพบ้าง หรือพิมพ์แจกเอกบ้าง ในช่วงที่เขาไปอยู่จังหวัด ตราดและจันทบุรีกับภรรยาคนแรก เขาได้ศึกษากฎหมายด้วยตนเองอย่างจริงจัง และ กลับมาอยู่กรุงเทพตอนอายุ ๓๓ ปี และทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมาย รวมทั้งศึกษา ด้วยตนเอง อ่านหนังสือทั้งภาษาไทยและอังกฤษอย่างต่อเนื่องเขาเขียนทั้งบทความ, บันทึกประจำวัน, กาพย์กลอน รวมทั้งไปพูดแสดงความคิดเห็นทั้งตามวังเจ้านายและ ตามวัด
เขาเป็นคนแรกๆ ที่เห็นความสำคัญของผู้หญิงว่า รัฐบาลควรจะให้การศึกษาทัดเทียมกับชาย เขาทำงานเป็นทนายความแบบนักอุดมคติ ช่วยให้คนจนได้รับความยุติธรรม ตอนที่เทียนวรรณอายุ ๔๐ เขาถูกฟ้องร้อง กรณีเขียนฎีกาให้กับราษฎรผู้หนึ่ง และถูกตัดสินว่าหมิ่นตราพระราชสีห์ ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและ หมิ่นประมาทเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรถูกเฆี่ยน ๕๐ ที และ ถูกขังคุกโดยไม่มีกำหนด
สงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) วิเคราะห์ว่าเทียนวรรณคงจะถูกผู้ใหญ่กลั่นแกล้ง เพราะเทียนวรรณเป็นคนปากโป้ง ชอบเปิดโปง ความชั่วของผู้อื่นอย่างไม่กลัวเกรงอิทธิพลใดๆ
ในช่วง ๒ ปีแรก เทียนวรรณถูกขังแบบใส่ขื่อคาครบห้า คือ ทั้งที่คอ มือ และเท้า ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับเขามาก แต่เขาก็ยังมีจิตใจ เข้มแข็ง อ่านและทำบันทึก เขียนหนังสือ เขาได้รายงานความทารุณในคุกให้ผู้ใหญ่ คือ กรมหลวงราชบุรีฯ ทราบ จนมีคำสั่งให้ปลดโซ่ที่คอออกจากนักโทษทุกคน หลังจากนั้นเขาก็มีโอกาสเขียนหนังสือ ทั้งร้อยแก้วร้อยกรอง ส่งไปพิมพ์นอกคุก เขาต้องโทษจำคุกอยู่เกือบ ๑๗ ปี ได้พ้นโทษ เพราะการช่วยเหลือวิ่งเต้นของขุน หลวงพระยาไกรศรี (เปล่ง) ระหว่างที่ติดคุกเขียนหนังสือไว้ ๒๘ เรื่องด้วยกัน ทั้งเรื่องวิจารณ์ลัทธิเมืองขึ้นของฝรั่ง, เรื่องให้เปลี่ยนขนบธรรมเนียมบ้านเมือง และงานชิ้นอื่นๆ
หลังจากออกจากคุก เทียนวรรณอายุ ๕๘ แต่ยังมีไฟในการทำงานมีผู้อุปการะให้เทียนวรรณยืมเงินเปิดสำนักทนายความขึ้น รวมทั้งเปิดร้านขายยาอีกแผนกหนึ่งเพื่อหารายได้มาจุนเจือ ดำเนินอาชีพทนายได้ ๒ ปี พอปีที่ ๓ คือใน พ.ศ.๒๔๔๓ ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อว่า "ตุลวิภาคพจนกิจ" ซึ่งมีความหมายว่า หนังสือพิมพ์นี้มุ่งจะเสนอข่าวสารที่ตรงไปตรงมาประดุจตาชั่ง หนังสือ พิมพ์นี้อยู่ได้ ๖ ปีก็หยุดเพราะขาดทุน และเพราะเทียนวรรณเหนื่อยอ่อนลงเนื่อง จากอายุมาก (อายุประมาณ ๖๒-๖๓ ปี) แต่เขาก็พิมพ์หนังสือขึ้นอีกชุดหนึ่ง (รวม ๑๒ เล่ม) ให้ชื่อว่า "ศิริพจนภาค" เป็นการรวมงานวรรณกรรมที่เขาเขียนตั้งแต่ อายุ ๓๓ ปีเป็นต้นมา ทั้งบทความวิจารณ์การเมือง เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประชาธิปไตย, เรียกร้องให้เลิกทาส, โจมตีการทุจริตฉ้อฉลของข้าราชการ, เสนอโครงการ ๓๔ ข้อให้รัฐบาลปรับปรุงชาติ ซึ่งหลายข้อรัฐบาลก็มาทำในภายหลัง, โจมตีระบบมีเมียมาก, โจมตีการพนัน, ปลุกใจให้คนรักชาติ, เสนอแนะการปราบการทุจริตฉ้อโกงการปฏิรูประบบยุติธรรม, การวิจารณ์สังคม รวมทั้งการวิจารณ์วรรณกรรมไทย เรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่
ในมุมมองของสงบ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕) อาจถือได้ว่าเทียนวรรณเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมคนแรกของสยามประเทศด้วย
เทียนวรรณนั้นเขียนบทความด้วยการใช้ถ้อยคำง่ายชัดเจน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างเช่นที่เขาเรียกว่า โรคของแผ่นดิน หรือโรคของประเทศราชการบ้านเมือง คือ เจ้านายเสนาบดี อธิบดี พนักงานทุกระดับ "ประพฤติผิดพระราชกำหนดกฎหมาย ใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรม ทุจริตในใจตน มิได้เมตตาจิตแก่ผู้น้อย และเพื่อนมนุษย์.... มิได้มีหิริโอตตับปะ ธรรม เกรงบาปหรือกลัวกรรม มุ่งแต่จะหาลาภยศใส่ตนในทางทุจริต กลับ ความจริงให้เป็นเท็จ กลับความเท็จให้เป็นจริง"
ขณะเดียวกัน เทียนวรรณก็วิเคราะห์ โรคของสามัญชน อย่างวิพากษ์ วิจารณ์ตรงไปตรงมาเช่นกัน โดยเขาเขียนว่า "ฝูงราษฎรเป็นคนโง่เขลา ปราศจากสติปัญญาวิชาความรู้ มีสันดานหยาบช้าสามาน ประกอบการทุจริตชั่วร้ายต่างๆ เต็มไปด้วยการเล่น พะนันอัน ไม่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนาและบ้านเมืองของตน"
แนวคิดของเทียนวรรณในด้านต่างๆเท่าที่รวบรวมเป็นกลุ่มๆได้มีดังนี้ (สุริยินทร์ ๒๔๙๕; หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑)
- ด้านนโยบายต่างประเทศ เขาแนะนำให้รัฐบาลไทยผูกมิตรไมตรีกับจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อต้านทานจักรพรรดินิยมฝรั่งเศส
- ด้านการเมือง เขาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย
- ด้านเศรษฐกิจ เขาเรียกร้องให้ยกเลิกบ่อนการพนัน ซึ่งเขาเห็นว่าทำให้พลเมืองโง่เขลา ถูกมอมเมา เกียจคร้าน และเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายอื่นๆ ตามมา และเสนอให้ เอาเงินหลวงออกให้ราษฎรกู้ไปทำทุน ส่งเสริมการตั้งโรงงาน การค้นคว้าทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการศึกษา เขาเสนอให้รัฐจัดการศึกษาให้ไพร่และสตรีอย่างเท่าเทียมกับผู้ดีและบุรุษ ชักชวนให้ผู้มีเงินหันมาสร้างโรงเรียนแทนวัด ต้านโครงสร้างสังคมที่เขาเห็นว่าต้องปฏิรูประบบราชการเพื่อปราบการทุจริตฉ้อฉล การเล่นพรรคเล่นพวก และ ความไม่ยุติธรรม
ที่มา:
1. สุริยินทร์, ส ๒๔๙๕, เทียนวรรณ, รวมสาส์น, กรุงเทพฯ.
2. วิกิพีเดีย ๒๕๕๑, เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93
3. หนังสือไทย๑๐๐เล่ม ๒๕๕๑, สังคมวิทยา มนุษยวิทยา ประวัติศาสตร์สังคม: เทียนวรรณ, accessed ๕/๑๑/๒๕๕๑, from
http://www.geocities.com/thaibooks_100/84.htm
คุณขอมา: ข่าวอัพเดทของเจ้าชายจิกมี .. เจ้าชายได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ภูฏานอย่างเป็นทางการแล้วจ้า :)

ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการติติงวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์ได้ และรัฐธรรมนูญกำหนดด้วยว่า กษัตริย์จะทรงครองราชย์ได้จนถึงพระชนมายุ 65 พรรษาเท่านั้น
พระองค์เคยเสด็จมาประเทศไทยหลายครั้ง รวมทั้งในคราวฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และทรงกลายเป็นพระราชวงศ์ที่อยู่ในการจับตามองที่สุดในการพระราชพิธีดังกล่าว เนื่องจากพระวรกายและพระพักตร์ที่หล่อเหลาแบบเดียวกับดาราภาพยนตร์เกาหลี ซึ่งอยู่ในกระแสความนิยมของชาวไทยในห้วงเวลาดังกล่าว
ที่มา: โพสทูเดย์ 2551,จิกมีขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ภูฏานแล้ว, accessed 3/11/2551, from
http://www.posttoday.com/breakingnews.php
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา

รายการคุณขอมา...อยากให้อับดุลค้นหาเรื่องเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาเมื่อปี พศ 2537 เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คนในชาติเราสำเนียกและช่วยกันเฝ้าระวังไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นในภูมิภาคสาระขันธ์นี้...จัดให้ :-
จากข้อมูลของประเทศรวันดาที่ได้มีการรวบรวมไว้ ดูเหมือนข้อมูลเกี่ยวกับ "เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา" จะมีการเก็บรวบรวมไว้มากที่สุด โดยอ้างอิงจากสารานุกรมเสรี (วิกิพีเดีย 2008a) นิยามของเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในประเทศนี้ ก็คือเหตุการณ์ที่ชนพื้นเมืองชาวตุดซี (Tutsi) และชนพื้นเมืองชาวฮูตู (Hutu) ถูกสังหารหมู่ไปประมาณ 800,000-1,071,000 คนในประเทศรวันดา โดยกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่คือกลุ่มทหารบ้านหัวรุนแรงชาวฮูตู ได้แก่กลุ่มอินเตราฮัมเว (Interahamwe เป็นภาษากินยาร์วันดาแปลว่า "ผู้ที่สู้ด้วยกัน") และกลุ่มอิมปูซูมูกัมบิ (Impuzamugambi แปลว่า "ผู้ที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน") โดยจะมี 2 กลุ่มนี้เป็นผู้กระทำการสังหารหมู่เสียเป็นส่วนใหญ่ ในช่วงเวลา 100 วันตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2537 (1994)
ในทางภูมิศาสตร์ (วิกิพีเดีย 2008b) สาธารณรัฐรวันดา (Republic of Rwanda) เป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลแต่อยู่ติดกับทะเลสาบเกรตเลกส์ (Great Lakes) ทางตะวันออกของประเทศ รวันดาเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่อยู่ทางระหว่างตอนกลางและตะวันออกของทวีปแอฟริกา มีประชากรร่วม ๆ 8 ล้านคน
รวันดามีอาณาเขตติดต่อกับยูกันดาทางตอนเหนือ บุรุนดีทางตอนใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนถึงตะวันตก และแทนซาเนียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ไล่ขึ้นมาถึงทางตะวันออก รวันดามีลักษณะทางภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้สมญานามจากเบลเยียม เจ้าอาณานิคมเก่าว่าเป็น ดินแดนแห่งเขาพันลูก (Pays des Mille Collines เป็นภาษาฝรั่งเศส หรือ Igihugu cy'Imisozi Igihumbi เป็นภาษากินยาร์วันดา) รวันดายังถือเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในแอฟริกาส่วนภูมิภาค (ไม่นับเกาะเล็ก ๆ)
รวันดามีอาณาเขตติดต่อกับยูกันดาทางตอนเหนือ บุรุนดีทางตอนใต้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกทางตะวันตกเฉียงเหนือมาจนถึงตะวันตก และแทนซาเนียที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ไล่ขึ้นมาถึงทางตะวันออก รวันดามีลักษณะทางภูมิประเทศที่เป็นเนินเขาที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้ได้สมญานามจากเบลเยียม เจ้าอาณานิคมเก่าว่าเป็น ดินแดนแห่งเขาพันลูก (Pays des Mille Collines เป็นภาษาฝรั่งเศส หรือ Igihugu cy'Imisozi Igihumbi เป็นภาษากินยาร์วันดา) รวันดายังถือเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในแอฟริกาส่วนภูมิภาค (ไม่นับเกาะเล็ก ๆ)
เศรษฐกิจของรวันดาล้วนมาจากการเกษตรกรรม แต่เกือบทั้งหมดเป็นเกษตรกรรมเพื่อการเลี้ยงชีพ มิใช่เพื่อการค้า ในปัจจุบันที่ความหนาแน่นและจำนวนประชากรที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่คุณภาพดินที่เสื่อมลงและสภาพอากาศที่ไม่แน่นอนทำให้รวันดาเป็นประเทศที่มีปัญหาร้ายแรงด้านการขาดสารอาหารของประชาชนที่เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวมถึงประสบกับปัญหาความยากจนอย่างต่อเนื่อง
ดังที่กล่าวมาแล้วว่าเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดของประเทศรวันดาในระดับสากลคือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทุตซีในปี พ.ศ. 2537 (1994) ซึ่งส่งผลให้ประชากรเกือบล้านคนต้องเสียชีวิตไป เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไม่เพียงเพราะจำนวนคนที่ถูกสังหารเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเวลาอันสั้น แต่ยังเป็นเพราะว่าเหตุการณ์นี้ได้แสดงถึงความไม่มีประสิทธิภาพขององค์การสหประชาชาติ (โดยเฉพาะสมาชิกสำคัญแห่งโลกตะวันตกคือสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส) ในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ แม้จะมีข่าวคราวมาก่อนว่าจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม รวมไปถึงการนำเสนอข่าวการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วโลกเมื่อเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงและความโหดร้ายทารุณของการสังหารหมู่ กระนั้น ประเทศโลกที่หนึ่งส่วนใหญ่รวมไปถึงประเทศฝรั่งเศส, เบลเยียม และสหรัฐอเมริกา กลับมีท่าทีนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยปฏิเสธที่จะออกมากระทำการแทรกแซง หรือแสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อกลุ่มผู้กระทำการสังหารหมู่ ส่วนประเทศแคนาดายังคงทำหน้าที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบในรวันดาจนถึงทุกวันนี้
ก่อนหน้าที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น สหประชาชาติได้เริ่มต้นภารกิจในการช่วยเหลือประเทศรวันดา (หรือ UNAMIR - United Nations Assistance Mission for Rwanda) ในเดือนตุลาคม ปี พ.ศ. 2536 (1993) เพื่อช่วยลดความตึงเครียดระหว่างรัฐบาลรวันดา (ที่ประกอบไปด้วยชาวฮูตูเป็นส่วนใหญ่) กับกลุ่มกบฎชาวตุดซี หลังจากที่พันธไมตรีหรือข้อตกลงสันติภาพอะรูชา (Arusha Accords หรือ Arusha Peace Agreement) ได้ถูกลงนามในวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ต่อมาสหประชาชาติจึงได้ประกาศให้ภารกิจสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2539 (1996) โดยก่อนหน้าที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จะเกิดขึ้น รวมไปถึงช่วงระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สหประชาชาติไม่อนุญาตให้ UNAMIR เข้าทำการแทรกแซงหรือใช้กำลังในระยะเวลาที่เร็วหรือมีประสิทธิภาพพอที่จะยับยั้งการสังหารหมู่ในรวันดา แม้ว่า UNAMIR จะปรับขอบเขตอำนาจและกำลังพลของตนเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้เกิดขึ้น รวมถึงเมื่อสถานการณ์ในประเทศได้เปลี่ยนไปก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้น กระนั้นนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็ยังคงมีข้อจำกัดทางกระบวนการและขั้นตอนหลายอย่าง ซึ่งเป็นเหตุให้สหประชาชาติประสบกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการป้องกันการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไม่ให้เกิดขึ้น โดยผู้นำภารกิจของสหประชาชาติภารกิจนี้ก็คือพลโทโรมิโอ ดาลแลร์ (Roméo Dallaire) นายทหารชาวแคนาดา
หลายสัปดาห์ก่อนที่เหตุการณ์จะเริ่มขึ้น สหประชาชาติไม่ได้ตอบสนองต่อรายงานเกี่ยวกับการสะสมอาวุธของทหารบ้านชาวฮูตู อีกทั้งยังปฏิเสธข้อเสนอให้ออกคำสั่งห้ามดักล่วงหน้า แม้ว่า พ.ท. ดาลแลร์จะทำการเตือนสหประชาชาติหลายต่อหลายครั้ง ทั้งในช่วงเวลาก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นมาจนถึงตอนที่เหตุการณ์กำลังดำเนินอยู่ แต่ทางสหประชาชาติก็ยังคงยืนกรานให้ยึดตามกฎการปะทะแบบเดิม ซึ่งทำให้กองกำลังรักษาความสงบของสหประชาชาติไม่สามารถที่จะทำการขัดขวางทหารบ้านฮูตูไม่ว่าในทางใดๆ แม้กระทั่งปลดอาวุธ ยกเว้นเป็นเหตุให้ทหารสหประชาชาติต้องป้องกันตัวเอง ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงของสหประชาชาติที่ไม่สามารถทำการขัดขวางและยับยั้งการฆ่าได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพพอได้นำไปสู่การถกประเด็นว่าใครเป็นฝ่ายผิดกันแน่ในเวทีสากล ได้แก่ประเทศฝรั่งเศส (ในฐานะที่มีสัมพันธ์กับรวันดาผ่านทางองค์กรชุมชนผู้พูดภาษาฝรั่งเศสสากลหรือลาฟรังโคโฟนี - La Francophonie), ประเทศเบลเยียม (ในฐานะประเทศอดีตจ้าวอาณานิคมของรวันดา) และประเทศสหรัฐอเมริกา (ในฐานะตำรวจโลก) ซึ่งรวมไปถึงระดับบุคคลที่ทำการร่างนโยบายขึ้นมาได้แก่ชาค-โรเจอร์ส บูห์-บูห์ (Jacques-Roger Booh-Booh) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศแคเมอรูนและหนึ่งในผู้นำภารกิจ UNAMIR และประธานาธิบดีสหรัฐฯ บิล คลินตัน ที่กล่าวถึงการเพิกเฉยของสหรัฐฯ ว่า "เป็นสิ่งที่น่าสลดที่สุดภายใต้การบริหารของผม"
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จบลงในที่สุดเมื่อกลุ่มกบฎชาวเผ่าตุดซีชื่อว่าแนวร่วมผู้รักชาติชาวรวันดา (Rwandan Patriotic Front - RPF) ภายใต้การนำของผู้ก่อตั้ง พอล คากาเม ได้ทำการล้มล้างรัฐบาลชาวฮูตูและเข้ายึดอำนาจ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีผู้อพยพ และทหารบ้านฮูตูผู้พ่ายแพ้เป็นแสนๆ คนก็ได้หลบหนีเข้าไปในประเทศไซเรีย (Zaire ซึ่งก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน) ในภูมิภาคตะวันออกเนื่องจากกลัวการถูกล้างแค้นโดยชาวตุดซี หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังและความรุนแรงระหว่างสองชนเผ่านี้ก็ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาค โดยเป็นเหตุให้เกิดสงครามคองโกถึงสองครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2539 มาจนถึง พ.ศ. 2546 (1996-2003) ความชิงชังและโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วนสำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็นสงครามกลางเมืองในประเทศบุรุนดีตั้งแต่ พ.ศ. 2536 (1993) มาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 (2005) อีกด้วย
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้จบลงในที่สุดเมื่อกลุ่มกบฎชาวเผ่าตุดซีชื่อว่าแนวร่วมผู้รักชาติชาวรวันดา (Rwandan Patriotic Front - RPF) ภายใต้การนำของผู้ก่อตั้ง พอล คากาเม ได้ทำการล้มล้างรัฐบาลชาวฮูตูและเข้ายึดอำนาจ หลังจากนั้นในเวลาต่อมาก็มีผู้อพยพ และทหารบ้านฮูตูผู้พ่ายแพ้เป็นแสนๆ คนก็ได้หลบหนีเข้าไปในประเทศไซเรีย (Zaire ซึ่งก็คือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน) ในภูมิภาคตะวันออกเนื่องจากกลัวการถูกล้างแค้นโดยชาวตุดซี หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังและความรุนแรงระหว่างสองชนเผ่านี้ก็ลุกลามไปยังประเทศในภูมิภาค โดยเป็นเหตุให้เกิดสงครามคองโกถึงสองครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องกันตั้งแต่ พ.ศ. 2539 มาจนถึง พ.ศ. 2546 (1996-2003) ความชิงชังและโกรธแค้นระหว่างสองชนเผ่ายังมีส่วนสำคัญในการเติมเชื้อปะทุความรุนแรงที่พัฒนามาเป็นสงครามกลางเมืองในประเทศบุรุนดีตั้งแต่ พ.ศ. 2536 (1993) มาจนถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 (2005) อีกด้วย
อ้างอิง:
1. วิกิพีเดีย 2008 a, เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา, accessed 3/11/2008, from
2. วิกิพีเดีย 2008 b, ประเทศรวันดา, accessed 3/11/2008, from
วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สมัชชาประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการครั้งที่ 1 (วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51)

เข้าร่วม...
สมัชชาประชาชน
เพื่อรัฐสวัสดิการ
ครั้งที่ 1
วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51
09.30 – 18.00 น.
ห้อง 102 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
เช้า
แลกเปลี่ยนข้อเสนอเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยคัดค้านระเบียบใหม่ของพันธมิตรฯ และอำนาจทหาร
วิทยากร
ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ
อนุธีร์ เดชเทวพร กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย ม. ธรรมศาสตร์
สมาภรณ์ แก้วเกลี้ยง นักศึกษาสิทธิมนุษยชน ม.มหิดล
วิษรุต บุญยา กลุ่มผีเสื้อขยับปีก ม.รามคำแหง
ผู้แทนจากสหภาพแรงงานไทรอัมฟ์
บ่าย
แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน ก้าวพ้นประชานิยม
วิทยากร
กมลเศรษฐ เก่งการเรือ สมาคมฟ้าสีรุ้ง
เสาวลักษณ์ กองก้วย องค์กรพิการสากล
นุ่มนวล ยัพราช เลี้ยวซ้าย
บุญผิน สุนทรารักษ์ สหภาพแรงงานกรุงเทพผลิตเหล็ก
วิชุชพล สุวรรณวัฒน์ สหภาพแรงงานอิเลกทรอนิกและยานยนต์
รายละเอียดเพิ่มเติมจาก 0813469481 ji.ungpakorn@gmail.com หรือ http://www.pcpthai.org/
ที่มา: พรรคแนวร่วมภาคประชาชน (หมายเหตุ "พรรคฯ ยังไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายพรรคการเมือง")
รื้อฟื้นคดีเพชรซาอุ..เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง..ทำให้ผู้คนหลายคนต้องตายหรือทุกข์ทรมาน..ต้นตอแห่งสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย

กรุงเทพฯ 5 มี.ค.2008 - นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะของนาย Nabil H. Ashri อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย วันนี้ (5 มี.ค.) ว่า มีการหารือและย้ำในเรื่องที่ประเทศไทยต้องการปรับระดับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้เป็นระดับปกติ คือ มีสถานเอกอัครราชทูต และเอกอัครราชทูต ที่ผ่านมามีปัญหาจากคดีนักการทูตและนักธุรกิจซาอุฯ ถูกสังหารในประเทศไทย และเรื่องเพชรซาอุฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ซาอุดีอาระเบียยังไม่ปรับระดับความสัมพันธ์กับไทย“ผมจะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาทางคลี่คลายเรื่องดังกล่าว และหาคำตอบให้ประเทศซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อตามคนผิดมาลงโทษให้ได้ เนื่องจากที่ไทยได้สูญเสียความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุดีอาระเบียไม่ออกวีซ่าให้แรงงานไทย จากที่ปี 2532 มีแรงงานไทยในซาอุฯ ถึง 150,000-200,000 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 10,000 คนเท่านั้น ทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศถึง 200,000 ล้านบาท ดังนั้น การรื้อฟื้นคดีต้องดูว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อรายงานให้ซาอุดีอาระเบียทราบโดยเร็ว” นายนพดล กล่าว.
(สำนักข่าวไทย 2008)
สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย อยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากเช่นกัน ประเทศซาอุทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง
1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุ
2. เรื่องนักธุรกิจซาอุถูกอุ้ม
3. เรื่องโจรกรรมเพชร
แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยบริบูรณ์ ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทย ถูกเรียกมาใช้หมด แต่ละคดีก็จบหรือสรุปแบบมีเงื่อนงำ คือทิ้งข้อกังขาให้คนที่สนใจขบคิด
ระยะแรกประเทศซาอุเข้มงวดเรื่องการส่งแรงงานไทยไปซาอุ และห้ามคนซาอุเดินทางเข้าไทย รัฐบาลไทย รวมแล้วถึง 5 ชุด 5 สมัย พยายามแก้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ทำให้มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุฯ หลายครั้งหลายครา คดีบางเรื่องก็ยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดี๋ยวนี้
สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯ ได้ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยไปซาอุ แพงมากๆ หัวละถึงแสนบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯ ก็พยายามปราบเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการออกวีซ่า และส่งคนเข้ามาสืบสวนลับๆ
จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง
1. เมื่อประมาณปลายปี 2531 ขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุยังฟูเฟื่อง เวลาเดียวกันที่ซอยนานา ใน กทม. และที่พัทยาใต้ แถวมาลินพลาซ่า รุ่งเรืองคราคร่ำไปด้วยคนซาอุ เกือบจะเรียกได้เลยว่าลักษณะเป็นเมืองแถบตะวันออกกลาง ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและเที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดนทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายชั่วโมงจากทุกสารทิศไปขุดทองที่พัทยา
- กลุ่มซาอุอยู่แถวพัทยาใต้ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ด้านล่าง
- ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าแถวฝั่งทะเลย่าน Baby อะโกโก้เป็นถิ่นของนายโรต้าแก๊งเยอรมัน
- พัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์
- ไต้หวันอยู่พัทยานาเกลือ
สถานบริการเปิดถึงตี 5 ... ปลายปี 2531 มี จนท. กงศุลของซาอุฯ ถูกลอบสังหารที่พัทยา ขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์ พัทยาใต้ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายมาโดย จยย. ขับขี่ 1 คน ซ้อนท้าย 1 คน แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถจยย. ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถ จยย. โดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือ 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย. ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรถ จยย.อยู่แล้วคนร้ายเป็นคนยิงก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดก้องดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่ม เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย นั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์อยู่กับเพื่อนๆ ประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ทุกคนไม่มียานพาหนะ เพราะมาเที่ยวพักผ่อน มิได้มาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เห็นคนร้ายหลังเสียงปืนดัง และได้ยินเสียงเร่งมอเตอร์ไซค์ ไม่สามารถจำอะไรได้เลย ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุ ก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ทุกคนยอมรับฝีมือการยิงแม่นยำ และมีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด
2. เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโท ประเทศซาอุฯ ประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือบังมุด ปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง
ขอพักคดีเรื่องฆ่าไว้ก่อนชั่วคราว เพราะการฆ่ายังไม่จบ หลังจากคดีบังมุดแล้ว ยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯ ตายอีก 3 ศพ รวมทั้งนักธุรกิจของประเทศซาอุ ถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน เหตุที่พักไว้เพราะมีคดีใหญ่คือ คดีโจรกรรมเพชรซาอุเกิดขึ้น
3. ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆ เดือนธันวาคม เริ่มมีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า ทางรัฐบาลประเทศซาอุฯ ประสานมายังรัฐบาลไทย ว่ามีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุ โจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯ เข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯ มากยิ่งขึ้น ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯ ยืนยันว่าคนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทย ที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯ และได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุ
หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าว เรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้าย คือ นายเกรียงไกร เตชะโหม่ง อยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมตำรวจ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬ ซึ่งนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก. ซึ่งควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน
การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นจะส่งตัวผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติ ส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้ ระหว่างเจรจาเรื่องส่งตัวหรือไม่ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ นสพ.ลงข่าว เพิ่มความกดดันให้กับ นายเกรียงไกร เตชะโม่ง เป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกส่งตัวไป ก็ถูกแขวนคอตายสถานเดียว เพราะนายเกรียงไกร เห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯ มาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดา ยังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาล ผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตสถานเดียว จึงทำให้นายเกรียงไกร หนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไนต์พร้อมฆ่าตัวตาย กล่าวคือถ้าถูกจับตัวได้ ก็จะรีบกินยาไซยาไนต์ทันที
รัฐบาลไทยเลือกหนทางตัดสินใจไม่ส่งตัวนายเกรียงไกร ไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่ากฎหมายของประเทศซาอุฯ รุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย
... หมวด 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 ระบุไว้ว่า “ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้
...หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”
เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ส่งผู้แทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุ ก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ปากคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้ กองปราบปราม เป็นพนักงานสอบสวน
กลับมาดูทางเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า คนไทยตัวเล็กๆ ไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไรในรั้วในวัง ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร ผ่านการตรวจตราของทั้งสองประเทศ เวลาออกเมือง และเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตายังกับสับปะรด หลุดรอดไปได้อย่างไร
แทบไม่น่าเชื่อว่าแรงงานไร้ฝีมือ เรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง จะเป็นต้นเหตุทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีมายาวนาน
เมื่อกว่า 30 ปีแล้วคนไทยนิยมหนีความแร้นแค้นไปขุดทองในประเทศซาอุดีอาระเบีย "เกรียงไกร เตชะโม่ง" เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านแม่ปะหลวง หมู่ 1 ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น
หลังจากเรียนจบ ม.3 ก็ควักเงิน 2 หมื่นบาทให้นายหน้าในจังหวัดส่งตัวไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย ... เกรียงไกรถูกส่งไปเป็นแรงงานไร้ฝีมือในบริษัทรับจ้างทำความสะอาดแห่งหนึ่ง ที่รับจ้างทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส กษัตริย์ซาอุฯ ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องต่างๆ กว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน แทบทุกห้องประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่า เพชรนิลจินดา แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เพราะซาอุฯ เป็นประเทศมุสลิมบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการลงโทษผู้ทำผิดรุนแรง คดีอาชญากรรมโดยเฉพาะลักทรัพย์จึงไม่มีให้เห็น แต่สำหรับเกรียงไกรแล้วความหละหลวมที่ว่านี้เปิดโอกาสให้เขาลงมือลักทรัพย์สินของกษัตริย์ซาอุฯ ได้โดยง่าย
จากเรื่องจริง .. วงใน... ของผู้ที่อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคที่ 2 ท่านหนึ่งคือ พล.ต.ต. อังกูร อาทรผไท (อาทรผไท 2008) ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จอมโจรบันลือโลกผู้นี้ .. อังกูรได้เขียนเรียบเรียงไว้ว่า :-
.... ต่อมาเมื่อมีการติดตามเพชรกลับคืนมาได้ นำส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่าเพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งกลับคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯ ไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯ เข้าประเทศไทย (การสอบสวนภาคแรกนั้นกองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวน และจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบ พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ขณะนั้นยศ พ.ต.ท. ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวน เพชรซาอุ ภาคที่ 2 นี้ด้วย เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนู ได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวน มี 2 เรื่อง
1. กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ
2. กรณีโจรกรรมเพชรซาอุ
ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรกออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะพูดถึงในโอกาสต่อไป
ส่วนกรณีโจรกรรมเพชรซาอุ ภาคที่ 2 เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกร ที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาลได้อีกหลายคน) และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกหลายคน
เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุ ภาค 2 นี้ ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้น ตามจุดต่างๆ ในครั้งแรกนั้น เมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใดก็ทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ แต่พอนำเข้า กทม. แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เหตุเพราะมีการจัดทำบันทึกใหม่ แต่ก็จับกุมได้แต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ
ส่วนบลูไดมอนด์ เพชรเม็ดใหญ่ ที่ทางซาอุฯ ต้องการทราบไม่รู้อยู่ที่ใด
ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการสืบสวนตรวจค้นตามจุดต่างๆ ที่ต่างจังหวัดแล้ว พอกลับ กทม. มารวมทำบันทึกใหม่ เป็นฉบับเดียวเพื่อจะให้เรียบร้อย ทำให้สิ่งของบางรายการขาดหายไป
ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุภาค 2 พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ทำหน้าที่รับตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น. จะไปรับตัวนายเกรียงไกร ที่เรือนจำอยุธยา แล้วพาตัวไปสอบสวน ที่ บชก. ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์ คุมตัวมาด้วย
มีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกร นั่งติดกัน คุยกันในช่วงเดินทางประมาณ 4-5 วัน เรื่องรายละเอียดต่างๆ เล่าสู่กันฟัง ไม่มีผลทางคดี เพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ลักษณะของนายเกรียงไกร เป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันที เมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คิดคำนึงก่อนพูด เชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่นิ้วกลางมือซ้าย ฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้ว เพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล บ่งบอกว่าเป็นอาชญากรตัวยง (นายเกรียงไกร เดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯ เช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour แรงงานไร้ฝีมือ ทำงานอยู่ในบริษัท รับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้ มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน) ในช่วงเกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในเป็นอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ มเหสี และห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาล และมเหสี แปรพระราชฐานพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึก ตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัทเช้าไปส่ง เย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงาน และเซ็นกลับ เพื่อเป็นการเช็คสอบว่าใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้าคนงานที่คอยถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์
สิ่งที่ควรทราบ คือประเทศซาอุเป็นประเทศมุสลิม จะไม่เลี้ยงสุนัข และเป็นประเทศที่กฎหมายแรงมาก คดีลักทรัพย์จะไม่ค่อยมี เพราะกฎหมายลงโทษหนักและทารุณ เช่น คดีลักทรัพย์ ผู้กระทำผิดจะต้องถูกตัดมือ และไม่ค่อยนิยมติดสัญญาณกันขโมย
นายเกรียงไกรเป็นคนฉลาดแกมโกง ไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าว ก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟ ก็ยังมีกุญแจเสียบ
ตอนเช้าคนงานผู้ใดจะไปทำงาน ต้องลงชื่อในบัญชีการทำงานที่หัวหน้าถือ ครั้นตอนกลับนายเกรียงไกรเห็นช่องทาง คือ มีคนงานฟิลิปปินส์บางคนอู้งาน ขอกลับก่อนที่รถของบริษัทจะมารับกลับ โดยรู้กับคนควบคุม โดยเซ็นชื่อมาทำงาน พร้อมเซ็นกลับไว้ด้วย เวลาเดียวกันนายเกรียงไกร ก็พบว่าแม่บ้านที่มาเปิดบ้านให้ทำความสะอาด บางวันก็ไม่ได้มาปิด มาเช็คห้อง เพราะเจ้านายไม่อยู่ และคิดว่าคงไม่มีใครกล้าลองดี
ดูลาดเลา 2 วัน วันที่ 3 นำกระสอบปุ๋ยติดตัวไปด้วย ... เที่ยงของวันที่สอง นายเกรียงไกรไปทำความสะอาดที่วังแห่งนี้ ก็เริ่มวางแผนทันที โดยในวันที่สามนายเกรียงไกร เริ่มนำกระสอบแบบกระสอบปุ๋ย ทบห่อให้เล็กติดตัวไป โดยไม่ให้ใครรู้ แล้วก็เซ็นชื่อไปทำงาน พร้อมเซ็นชื่อกลับไว้ในสมุดหัวหน้างาน พร้อมกับบอกหัวหน้าว่า จะขอเดินทางมาเอง กลับเอง ดังนั้นทุกวันนายเกรียงไกร ก็จะมาทำงาน โดยโผล่เข้ามาทางไหน ไม่มีใครรู้ เพราะตึกมีหลายหลัง หลายทางเข้าออก ทุกเช้าก็จะมาเซ็นชื่อทำงาน พร้อมกับเซ็นชื่อกลับไว้ด้วย ในเวลาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นายเกรียงไกรมิได้เดินทางออกจากวังไปไหนเลย พอหมดเวลาทำงานแต่ละวันแล้ว ก็จะซุกตัวอยู่ในห้อง ในบริเวณตึกที่เห็นว่ามิดชิดไม่มีการตรวจสอบ พอคนงานกลับหมด แม่บ้านไปแล้ว นายเกรียงไกร ก็ออกจากที่ซ่อนเที่ยวค้นหาของมีค่า โดยใช้เวลาเก็บของมีค่าทั้งสิ้น 7 คืน (7 ครั้ง) แล้วของมีค่าทั้งหมดถูกรวบรวมในถุงปุ๋ย เหวี่ยงออกนอกกำแพงในเวลากลางคืน แล้วปีนกำแพงออก นำของมีค่ากลับที่พัก
ประเด็นเรื่องของมีค่านั้นจริงหรือเก๊ เกิดได้หลายทาง
1. นายเกรียงไกร เก็บของมีค่าตามตู้โชว์ ตามลิ้นชัก ตามตู้เซฟที่กุญแจตู้เซฟคาไว้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าที่มาของสิ่งของในตู้โชว์ อาจเป็นของสวยงาม การหาหรือได้มาอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซีเรียส อาจจะมีของไม่แท้บ้างก็ได้
2. ตอนคืนของที่ถูกโจรกรรมจากแหล่งรับซื้อในเมืองไทย ซึ่งร้านรับซื้อรู้ว่าเป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอามาคืน เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขายต่อ หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้ไป
*** ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร ***
นายเกรียงไกร เคยทำงานอยู่ซาอุมาเป็นเวลา 7 ปี รู้ลู่ทาง ทางหนีทีไล่ จุดอ่อน จุดแข็ง ของการปฏิบัติงานของ จนท. ในประเทศซาอุฯ ถนนหนทางต่างๆ สามารถเดินทางไปไหน มาไหนคนเดียวคล่องแคล่ว และเคยส่งของกลับเมืองไทย โดยการบรรจุหีบห่อก่อนแล้วหลายครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน สิ่งของมีค่าที่หยิบฉวยมาจากวังกษัตริย์ไฟซาล ถูกลำเลียงกล่องกระดาษแข็ง ผสมเสื้อผ้าของใช้ปะปนไป โดยของใช้ที่ไม่ค่อยมีค่าอยู่ด้านบน หีบห่อก็ไม่ได้ทำให้สวยงาม การเขียนจ่าหน้าก็เขียนด้วยลายมือ เหมือนคนไม่มีการศึกษา จำนวน 4 กล่อง การกระทำดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้อง ประเมินสถานการณ์ผิด
สิ่งของบรรจุหีบห่อ 4 หีบ น้ำหนักรวม 90 กก. ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเพชรอัญมณีหนักถึง 90 กก. แต่เป็นน้ำหนักรวม เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ประมาณการครึ่งๆ น่าจะใกล้เคียงความจริง
นายเกรียงไกร เป็นคนฉลาดรู้ว่ากษัตริย์ไฟซาล จะเสด็จกลับวังภายใน 15 วัน เพราะฉะนั้นก่อนครบกำหนด นายเกรียงไกรก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยส่งสิ่งของทางพัสดุภัณฑ์ทางอากาศไปก่อน นายเกรียงไกรเดินทางกลับประเทศไทย ก่อนครบกำหนดทำงานถึง 2 เดือน
นายเกรียงไกร เมื่อเดินทางถึง กทม. แล้ว ก็ไปติดต่อรับสิ่งของพัสดุภัณฑ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่นายเกรียงไกร เคยทำในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของไทย ก็เคยตรวจของนายเกรียงไกรมาก่อนแล้วหลายครั้ง ซึ่งส่วนมากคนไปทำงานตะวันออกกลาง มักจะนำสิ่งของที่ตนใช้อยู่ที่ต่างประเทศ กลับติดตัวมา ไม่ค่อยมีราคาค่างวด มีการเสียเงินใต้โต๊ะกัน กล่องหรือหีบห่อละ 7 พันบาท ส่วนคราวนี้นายเกรียงไกร บอกว่ารู้สึกเสียวๆ เหมือนกัน เพราะเจ้าหน้าที่ศุลกากรสุ่มเปิด 1 กล่อง แล้วเอามือหยิบสิ่งของที่อยู่บนๆ ขึ้นมาซึ่งเป็นเสื้อผ้า ถ้าหากล้วงลึกลงไปอีกฝ่ามือเดียว ก็จะถึงอัญมณีทันที
นายเกรียงไกร จ่ายค่าผ่านด่านศุลกากร คิดราคาแบบเหมาจ่าย สิ่งของต่างๆ รวม 4กล่องกระดาษรวมจ่ายเพียง 7 พันบาท
ทางด้านกษัตริย์ไฟซาล กลับจากพักร้อนกลับมาที่วัง ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะข้าวของมีค่ามีจำนวนมาก และการหยิบฉวยของนายเกรียงไกร เลือกหยิบบางชิ้นไม่ให้ผิดปกติ
กรรมย่อมเห็นผลทันตา กษัตริย์ไฟซาล เมื่อกลับมาถึงวังก็จะทำพิธีละหมาด ซึ่งการละหมาดของกษัตริย์เคร่งครัดมาก คือการเลือกทิศ ซึ่งจะต้องหันหน้าไปทาง “ไบตุ้ลเลาะห์” หรือตรงตำแหน่งที่ประดิษฐ์สถานหินศักดิ์สิทธิ์ (กะบะ) การบอกทิศที่ถูกต้อง จำเป็นต้องใช้นาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งมิตรกษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง ประทานให้มา โดยนาฬิกาเรือนดังกล่าวมีเข็มชี้บอกทิศทางที่นั่งทำพิธีละหมาด กษัตริย์ไฟซาล หานาฬิกาเรือนดังกล่าวไม่พบ จึงเกิดเอะใจตรวจดูทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่า พบว่าเพชรอัญมณีหายไป
เรียกบริษัททำความสะอาดสอบ ... การตรวจสอบสอบสวนเกิดขึ้น บริษัทที่รับจ้างทำความสะอาดถูกเรียกตัว พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกเรียกสอบเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบหลายวัน มีคนงานไทยคนหนึ่ง ที่ทำงานและพักด้วยกันกับนายเกรียงไกร คนงานไทยผู้นี้รู้ทันทีว่านายเกรียงไกร ต้องเป็นคนทำแน่ ทันทีที่ทางการซาอุฯ ปล่อยตัวคนงานนี้ออกมา คนงานนี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย แล้วตรงเข้าหานายเกรียงไกรทันที
การ Black mail เกิดขึ้น คนงานดังกล่าวถึงตัวนายเกรียงไกรก่อนทางการไทยจะได้ข่าว คนงานดังกล่าวขู่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับตัวนายเกรียงไกร ส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุ ของมีค่าที่นายเกรียงไกรโจรกรรมมาถูกแบ่งให้นัก Black mail นี้ทันที นายเกรียงไกร รู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดเส้นใหญ่ๆ เม็ดโตๆ มาก่อน แยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้น มีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกร ขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปาง นำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จว.พิษณุโลก ตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท
น่าสงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่า เพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณีเม็ดไหนทุบไม่แตก ก็เชื่อว่าเป็นเพชรเก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท
ของมีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุ ต้องถูกแขวนคอแน่ นายเกรียงไกรร่ำลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไนต์ติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัว จะถูกจับกุม จะกินไซยาไนต์ทันที
ถึงแม้จะจวนตัว นายเกรียงไกรก็ยังเป็นห่วงทรัพย์สิน โดยรวบรวมใส่ถุงพลาสติก แล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ ... ญาติพี่น้องเป็นห่วง แต่นายกรียงไกร บอกว่าสามารถเอาตัวรอดได้ และบอกด้วยว่าหากจำเป็นหรือเดือดร้อน จะเป็นผู้ติดต่อมาหาญาติเอง ... นายเกรียงไกรมุ่งหน้าเดินป่าไปทาง อ.แม่สอด มุ่งเข้าสู่แดนพม่า ขั้นแรกมีคนตามไปดูแลด้วย เป็นคาราวาน พอนานๆ เข้าคนที่ติดตามทนลำบาก ไม่ไหวหนีกลับหมด
ทีมล่าฝ่ายทีมล่า นำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง และลูกน้องซึ่งเป็นตำรวจกองปราบอีกหลายคน แบ่งกำลังติดตามเป็น 5 สาย ญาติพี่น้องนายเกรียงไกร ถูกเรียกมาสอบทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับนายเกรียงไกร ถูกคายหมด ไม่มีใครรู้ว่านายเกรียงไกร หลบหนีไปที่ใด แต่ที่รู้แน่ๆ คือนายเกรียงไกร ไม่ยอมให้จับเป็น ไม่ได้หมายว่าจะต่อสู้ แต่จะชิงกินยาฆ่าตัวตายก่อนถูกจับ กำลังทั้ง 5 สาย ถูกสั่งให้ออกล่าสกัดกั้นการหลบหนี ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถจับกุมผู้ร่วมมือ ช่วยจำหน่ายทรัพย์ ช่วยพาหลบหนีได้ 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมลักทรัพย์หรือรับของโจร กำลังส่วนหนึ่งติดตามหาทรัพย์สินที่นายเกรียงไกรขาย จากนายเกรียงไกรไปยังพ่อค้าทองที่ลำปาง จากลำปางไปยังพ่อค้าทองที่ จว.พิษณุโลก จากพิษณุโลกสู่ร้านค้าเพชร “สันติมณี” ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ของนายสันติ - นางดาราวดี ศรีธนขันธ์
ทีมล่าหาตัวติดตามหานายเกรียงไกร อย่างไม่ลดละ ต้องปีนเขาข้ามป่าข้ามทุ่ง แต่ไม่พบร่องรอย จึงได้วิเคราะห์แผนใหม่ ว่านายเกรียงไกร ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างแน่นอน และจากการสืบเสาะข้อมูลทราบว่า นายเกรียงไกรชอบผู้หญิงมาก ดังนั้นการที่จะหลบอยู่ในป่า คงอยู่นานไม่ได้ ... ชุดที่ 1 เฝ้าการเคลื่อนไหวของญาติ กำลังส่วนหนึ่ง ถูกวางซุ่มดูความเคลื่อนไหวของญาติ ในช่วงเกิดเหตุนั้น ระบบการสื่อสารไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่มี การติดต่อสื่อสารจะใช้จดหมายกับโทรเลข เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน ในลำปาง ถูกประสานให้ร่วมมือทันที เวลาล่วงเลยเป็นเดือน ไม่มีจดหมายติดต่อไปยังพ่อแม่ พี่น้องของนายเกรียงไกรเลย มีแต่จดหมายถึงกำนัน ประมาณ 2 ครั้ง ... ชุดสืบสวนใช้ไหวพริบ เรียกกำนันไปสอบขอดูจดหมาย ปรากฏว่าเป็นจดหมายของนายเกรียงไกร เขียนถึงพ่อแม่ ให้ส่งเงินทางธนาณัติไปให้ ระบุชื่อผู้รับเป็นผู้หญิง ที่อยู่ที่แม่สอด จ. ตาก
ผู้หญิงที่นายเกรียงไกร ให้ส่งเงินไปให้ต้องมีความเชื่อมโยงกับนายเกรียงไกร การติดตามหาตัวหญิงผู้ที่จะรับธนาณัติเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทีมงานสืบสวนเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเป็นหญิงขายบริการ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบตามซ่องโสเภณี ที่แม่สอดทุกแห่ง ก็พบตัวของหญิงดังกล่าว และถูกดึงตัวมาสอบอย่างลับๆ จนรู้ที่พักของนายเกรียงไกร ว่าอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในแม่สอด ... การวางแผนจับกุมนายเกรียงไกร ต้องรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่กลัวจะต่อสู้ หรือหลบหนี แต่ต้องคิดให้รอบคอบว่าทำอย่างไร จึงจะจับตัวได้เป็นๆ ป้องกันไม่ให้ดื่มยาฆ่าตัวตาย ... วางแผนเสร็จเรียบร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบนำโดย พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร กับพวก ให้หญิงแฟนนายเกรียงไกร นำหน้าเคาะประตูห้องพักโรงแรม ตำรวจต้องหลบตัวต่ำและอยู่ห่างๆ เพราะประตูห้องพักมีกล้องตาแมวมองจากด้านในออกมาได้ เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูสักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงถอดกลอนประตูดังแกร๊ก ชุดปฏิบัติงานรู้หน้าที่ เริ่มปฏิบัติการทันที คนหนึ่งร่างใหญ่กระแทกประตู ซึ่งปรากฏว่าติดโซ่ แต่ตำรวจเตรียมการณ์ไว้ก่อนแล้ว คือเพิ่มแรงกระแทกเต็มที่ หมุดที่ยึดโซ่ขาด ประตูเปิดออก ... พ.ต.ท.เจษฎากร พุ่งหลาวบกเข้าใส่ร่างคน ซึ่งมีอยู่คนเดียว จะเป็นใครไม่ได้นอกจากนายเกรียงไกร มือข้างหนึ่งของ พ.ต.ท.เจษฎากร ปิดปากนายเกรียงไกร อีกมือหนึ่ง คว้าจับแขนเกรียงไกรไว้ และเป็นจริงตามคาด ยาชนิดหนึ่งไม่ได้พิสูจน์ทราบเป็นยาอะไร อยู่ในมือขวาของนายเกรียงไกร ถูก พ.ต.ท.เจษฎากร จับไว้ได้ ตำรวจอื่นๆ มาช่วย จับกุมนายเกรียงไกร ได้สำเร็จ นายเกรียงไกรถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน นายเกรียงไกรรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุดและปัจจุบันพ้นโทษแล้ว
เกรียงไกรถูกแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษจำคุก 1-7 ปี เขาให้การรับสารภาพศาลจึงลดโทษ และติดคุกจริงไม่ถึง 5 ปี
จากวันนั้นถึงวันนี้เกรียงไกรได้รับอิสรภาพมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุฯ ถึงจุดต่ำสุด และยิ่งตอกย้ำเมื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ไปเยือนซาอุฯ เพื่อฟื้นสัมพันธ์ แต่ต้องผิดหวังเพราะซาอุฯ กล่าวหาว่าไทยเอาเพชรปลอมไปคืนแถมคืนให้ไม่ครบ โดยเฉพาะ "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ก็ยังไม่ได้คืน ปฏิบัติการติดตาม "บลูไดมอนด์" ในไทยจึงเกิดขึ้น โดยนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ถึงกับว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษแกะรอยตามหาเพชรอย่างลับๆ ควบคู่ไปกับการทำงานของตำรวจยุคที่มี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดี เกรียงไกรให้การในทำนองว่าบลูไดมอนด์น่าจะอยู่ในมือของ "สันติ ศรีธนะขัณฑ์" เจ้าของร้านเพชรสันติมณี ย่านเจริญกรุง จนกลายเป็นที่มาของคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ และเป็นการปิดตำนาน 2 ตำรวจมือปราบ เจ้าของฉายาสิงห์เหนือและเสือใต้ ใครจะเชื่อว่าตำรวจไทยระดับพลตำรวจเอก จะมีคำสั่งโหดเหี้ยมถึงขั้นข่มขืนแม่ก่อนสังหารด้วยท่อนเหล็ก ทั้งแม่และลูกชายที่ตร.จับมาเป็นตัวประกัน เพื่อไถเงินจากผู้ต้องสงสัยในคดีที่แรงงานไทยไปขโมยเพชรมาจาก ซาอุดิอาระเบีย
รายละเอียดของการสมรู้ร่วมคิดของทีมตำรวจที่สุดท้ายกลับมาเกี่ยงข้องกับนายตำรวจระดับบิ๊กๆอย่างอดีตสิงห์เหนือและเสือใต้มีดังนี้... หลังจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ชาว จ.ลำปาง ขโมยเพชรจากพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียหนีกลับประเทศไทย และ รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก ทั้งการขอให้ส่งนายเกรียงไกรกลับไปรับโทษในประเทศซาอุฯ รวมทั้งการติดตามเพชร "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ ที่กษัตริย์ไฟซาลต้องการคืนมากที่สุด และด้วยเพชรเม็ดนี้นี่เองที่ นำมาสู่การปิดฉากชีวิตราชการของ 2 ตำรวจมือปราบชื่อดังอย่าง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ เจ้าของฉายา "สิงห์เหนือ" ขณะที่ พล.ต.ท.โสภณ สะวิคามิน เจ้าของฉายา "เสือใต้" ก็พลอยติดร่างแห ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับเรื่องดังกล่าว ต้องถูกจับกุม ดำเนินคดี แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะไม่มีพยานหลักฐานเกี่ยวพันถึง ... รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจใน ขณะนั้น เร่งติดตามหาเพชรซาอุฯ อย่างเร่งด่วน จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะตำรวจชุดเฉพาะกิจติดตามหาเพชรซาอุฯ โดยมี พล.ต.อ.ชาญ รัตนธรรม รองอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้า โดยมีมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ-เสือใต้ พล.ต.ท. ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ รวมอยู่ด้วย ... หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.ท.ชลอ ให้ลูกน้องพานายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชร "สันติมณี" ย่านสะพานเหล็ก ซึ่งนายเกรียงไกรระบุว่ารับซื้อเพชรที่ขโมยมาหลายรายการไปกักตัวไว้ที่คุ้มพระลอ จ.ตาก เพื่อเค้นหาเพชร "บลูไดมอนด์" ที่สงสัยว่านายสันติยังคงเก็บไว้ แต่ไม่เป็นผลและต้องรีบปล่อยตัวนายสันติออกมา เพราะนางดาราวดี ภรรยาของนายสันติ เข้าขอความช่วยเหลือจากนายอารี วงศ์อารยะ ปลัดกระทรวงมหาดไทย... จากนั้นเป็นต้นมา นายสันติถูกลูกน้องของ พล.ต.ท.ชลอ ติดตาม เพื่อหาโอกาสพาตัวไปสอบถามเรื่องเพชรอีกหลายครั้ง แต่นายสันติได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่จัดชุดมาคุ้มกัน จึงหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง .. กระทั่งวันที่ 2 กรกฎาคม 2537 นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรของนายสันติถูกคนร้ายลักพาตัวไประหว่าง เดินทางออกจากบ้านพักในหมู่บ้านมัณฑนา ย่านตลิ่งชัน เพื่อไปหานายสันติ ที่โรงแรมรอยัล ออร์คิด ... นายสันติตามหาภรรยาและลูกอยู่ 5 วัน แต่ไม่มีความคืบหน้า แม้จะขอความช่วยเหลือไปยัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทยในขณะนั้นแล้วก็ตาม จึงโทรศัพท์ไปหา พล.ต.ท.ชลอ และนัดพูดคุยกันที่โรงแรมไฮแอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว ทันทีที่พบหน้า พล.ต.ท.ชลอ ถามนายสันติว่าแจ้งความหรือยัง เมื่อทราบว่ายังไม่ได้แจ้งความก็รับอาสาจะช่วยติดตามตัวให้ โดยต้องมีค่าใช้จ่าย และยังขอหมายเลขวิทยุติดตามตัวของนายสันติไว้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อ ... นายสันติไปขอความช่วยเหลือจากนายสุนทร ไชยอนันต์สุจริต เจ้าของโรงแรมบูรพา เพื่อนสนิท เพื่อขอยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามหาภรรยา และเย็นวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ก็มีคนร้ายโทรศัพท์มาหานายสุนทร เพื่อให้แจ้งนายสันติ ให้นำเงินค่าไถ่จำนวน 3 ล้านบาท โดยนัดหมายให้นำเงินไปวางไว้ที่หน้าหลักกิโลเมตร บนถนนสายหนึ่งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ในคืนวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 แต่หลังจากนายสุนทร และนายโชติชัย เชาว์นิธิ เพื่อนสนิทอีกรายนำเงินไปวางไว้ตามที่คนร้ายต้องการแล้ว ปรากฏว่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด ... หลังจากนั้นอีก 2 วัน พล.ต.ท.ชลอนัดหมายให้นายสันติไปพบที่โรงแรมแอร์พอร์ต และแจ้งให้นายสันติทราบว่าคนร้ายนัดให้ไปเจรจาที่ปั๊มน้ำมันโมบิล ใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่นายสันติขอให้ พล.ต.ท.ชลอ เจรจาแทน ซึ่ง พล.ต.ท. ชลอ รับปาก ก่อนจะแยกย้ายกัน ...กระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอนัดนายสันติให้ไปพบอีกครั้งที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยแจ้งให้ทราบว่า คนร้ายนำตัวบุตรและภรรยานายสันติมาอยู่ในพื้นที่ อ.หินกอง จ.สระบุรี และได้เรียกเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท นายสันติเจรจา ต่อรองเหลือ 1 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ รับปากจะเจรจาให้ .. ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอเรียกนายสันติไปพบอีกครั้ง ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค โดยกำชับไม่ให้แจ้งความ เพราะไม่เช่นนั้นบุตรและภรรยาอาจถูกฆ่าตาย และยืนยันว่าอีก 2-3 วัน นายสันติจะได้บุตรและภรรยาคืน แต่ไม่เป็นดังนั้น เมื่อ เช้าวันที่ 1 สิงหาคม 2537 มีคนพบนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี เสียชีวิตอยู่ภายในรถเบนซ์ ทะเบียน 8ฉ-3237 ซึ่งตกอยู่ข้าง ทางริมถนนมิตรภาพ พื้นที่หมู่ 2 ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี .. พนักงานสอบสวน สภ.อ.แก่งคอย ระบุถึงสาเหตุการตายของบุคคลทั้งสองว่า เกิดจากอุบัติเหตุ โดยมี ผบก.สถาบัน นิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ยืนยันสาเหตุการตาย แต่ นพ.พรชัย สุธีรคุณ แพทย์ผู้ตรวจศพคัดค้าน และระบุสาเหตุการตายของ คนทั้งสองว่าเป็นฆาตกรรม ... ข้อกังขาดังกล่าวนำมาสู่การรื้อคดีใหม่ โดย พล.ต.อ.ประทิน ได้มอบหมายให้กองปราบปรามยุคที่มี พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็นผู้บังคับการ รับผิดชอบคลี่คลายคดี กระทั่งนำมาสู่การจับกุมพล.ต.ท.ชลอ และพวก รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ ด้วย
ถุงกระดาษโชคดีที่ภายในมีบิลค่าที่พัก "บังกะโลกวีวิลล่า" ใน จ.สระแก้ว เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ชุดสืบสวน กองปราบปรามแกะรอยติดตามจับกุม พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค ด.ต.สมนึก เวชศรี นายวีระชัย พลทิแสง นายนิคม มนต์ศิริ นายสำราญ แจ่มจำรัส นายสมหมาย พุดเทศ และนายสุภาพ ช่างสาย หลังจากพนักงานบังกะโล ดังกล่าวให้การว่า ทั้งหมดจับผู้ตายทั้งสองมาคุมขังไว้ภายในห้องพักของบังกะโล .. ต่อมา พ.ต.ท.พันศักดิ์รับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.ชลอ ให้จับตัวนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี ไปกักตัวไว้ เพื่อบีบให้นายสันติให้ความร่วมมือในการติดตามเพชรซาอุฯ แต่นายสันติไปร้องเรียนผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงต้องจัดฉากเป็นการ ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และเกรงว่า หากปล่อยตัวทั้งสองไปความลับจะแตก จึงจำเป็นต้องฆ่าทิ้ง โดย ด.ต.สมคิด เป็นผู้ใช้ท่อน เหล็กตีทั้งสองจนเสียชีวิต แล้วนำศพไปใส่ไว้ในรถเบนซ์ของผู้ตาย ก่อนจะจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ... ต่อมาพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้จับกุม พล.ต.ท.โสภณ เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับเรื่องดังกล่าว เพราะ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของมือปราบเจ้าของฉายาเสือใต้ผู้นี้ แต่เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า พล.ต.ท.โสภณ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ศาลจึงสั่งยกฟ้อง ... ขณะที่ พล.ต.ท.ชลอ ดิ้นไม่หลุด เพราะมีพยานหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะรายงานการใช้โทรศัพท์ของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่มีการติดต่อ พล.ต.ท.ชลอ ขณะเกิดเหตุหลายครั้ง รวมทั้งคำสารภาพของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่ให้การซัดทอด ว่า พล.ต.ท.ชลอ เป็นผู้สั่งการ
หลังจากนั้น พล.ต.ท.ชลอ ถูกจับกุมดำเนินคดี ปิดฉากชีวิตนายตำรวจมือปราบเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ โดยศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลได้พิพากษาไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2549 โดยเปลี่ยน คำพิพากษาเป็นประหารชีวิต ขณะนี้ พล.ต.ท.ชลออยู่ระหว่างการยื่นฎีกา และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรม
อนึ่งความพยายามในการรื้อฟื้นคดีเพชรซาอุขึ้นมาอีกครั้งนี้ทำให้เกิดการพบปะกันระหว่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่ง รมว ยุติธรรม กับ พล ต ท ชลอ เกิดเทศ ในคุกคลองเปรม..ความเอาใจใส่อย่างจริงจังที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ถึงกับทำให้ พล ต ท ชลอถึงขั้นน้ำตาคลอหลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ'' ตามข่าวด้านล่างนี้:-
สมพงษ์' บุกคุกคลองเปรมพบ 'ป๋าชลอ' ขอข้อมูลคดีซาอุฯ ขอปิดข้อมูลเป็นความลับหวั่นผู้เกี่ยวข้องทำลายหลักฐาน พล.ต.ท.ชลอ ตื้นตันน้ำตาคลอรมว.มาขอบคุณ เผยยอมทำเพื่อชาติ ให้ข้อมูลหมดเปลือกเพราะเชื่อใจรมว.ยุติธรรม ไม่หวังได้ลดโทษเมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 3 เมษายน ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและสำนักคดีระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีการหายตัวของนายอัลลู ไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย เข้าพบพล.ต.อ.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำ กรมตำรวจ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุฯ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอ จำเลยในคดีฆ่า 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ และคดียักยอกของกลางคดีเพชรซาอุฯ ออกจากแดน 4 ซึ่งเป็นแดนควบคุมตัวนักโทษสูงอายุออกมายังห้องผู้อำนวยการส่วนควบคุม เพื่อพูดคุยกับคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอออกมาจากแดนควมคุมเพื่อ มารอพบนายสมพงษ์ยังห้องผอ.ส่วนคุมคุมผู้ต้องขัง โดยพล.ต.ท.ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้า พร้อมใส่หมวกแก๊ปสีขาว โดยมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ เมื่อนายสมพงษ์เดินเข้าไปพบได้ยกมือไหว้พร้อมกับทักทายกันอย่างสนิทสนม ระหว่างนั้นแววตาของพล.ต.ท.ชลอ เป็นสีแดงมีน้ำตาคลอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวแยกไปในห้องต่างหากเพื่อสอบสวนและพูดคุยเป็นการส่วนตัวภายหลังการพูดคุยกับพล.ต.ท.ชลอ ประมาณ 20 นาที นายสมพงษ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้ร่วมเป็นพนักงานสอบสวนคดีในความรับผิดชอบของดีเอสไอ แต่ต้องการเข้าพบพล.ต.ท.ชลอเพื่อขอบคุณในน้ำใจ ที่ช่วยให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีเกี่ยวกับประเทศซาอุฯหลายคดี นอกจากนี้ ตนและพล.ต.ท.ชลอสนิทสนมกันดีเพราะพล.ต.อ.สวัสดิ์ พี่ชายของตนเป็นรุ่นพี่ของพล.ต.ท.ชลอ จึงเคยพบปะกันมาตลอด ทั้งนี้การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯมีมาหลายรัฐบาล ตนจึงอยากทำให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาคดีซาอุฯที่ยืด เยื้อมากว่า 18 ปี คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะในการหาหลักฐานใหม่เพิ่มเติม เพื่อส่งให้อัยการพิจารณาสำนวน จากนั้นจะเจรจาให้ซาอุฯเห็นถึงความจริงใจของเรา และจะดูจิตใจของเขาว่า จะฟื้นความสัมพันธ์ด้านการค้ากับเราอย่างไร “รายละเอียดที่เป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งได้รับจากพล.ต.ท.ชลอถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี ผมยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องอาจเข้าไปทำลายหลักฐาน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการดำเนินคดี”นายสมพงษ์กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ระดับใด นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของคดี จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ได้ระดับใด เร็วๆนี้ตนจะนัดหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯ และจะรับประทานข้าวหมกไก่ร่วมกันก่อนหน้านี้เคยหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯมาแล้ว ทางซาอุฯระบุชัดหรือไม่ว่าต้องการให้ฝ่ายไทยดำเนินการอย่างไร นายสมพงษ์ กล่าวว่า ซาอุฯไม่เคยบอกว่าเราต้องทำอะไร เพียงแต่สอบถามถึงความคืบหน้าในแต่ละคดีตนก็เข้าใจดีเพราะนักธุรกิจที่หายไป มีภรรยาเป็นพระญาติของกษัตริย์ซาอุฯ ทำให้กษัตริย์ซาอุฯเองก็ถูกทวงถามถึงความคืบหน้าของคดีอยู่เช่นกัน ซึ่งประเด็นการหายตัวไปของคนในครอบครัวมีประเด็นทางศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นการทำคดีของฝ่ายไทยจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องแจ้งรายละเอียดให้เข้ารับรู้พล.ต.ท.ชลอ ให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมเป็นพยานให้ข้อมูลเพื่อคลี่คลาย 2 คดี เนื่องจากมความมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ และผูกพันมานานกับครอบครัวของนายสมพงษ์ ซึ่งเป็นน้องชายของพล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ยืนยันไม่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือข้อเรียกร้องในการลดโทษ เพียงแต่ต้องการช่วยชาติให้ 2 คดีได้ข้อยุติ และหลักฐานก็คาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานใหม่พล.ต.ท.ชลอ กล่าวถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำว่า วันนี้เป็นครั้งแรกหลังจากติดคุกมา 14 ปี ทำให้ตนรู้สึกเหมือนบรรยากาศเก่าๆ สำหรับตนใช้ชีวิตเหมือนนักโทษรายอื่น ไม่ได้อยู่ห้องแอร์ มีแต่แอร์กี่ และไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ดวงจันทร์หน้าตาเป็นอย่างไรยังนึกภาพไม่ได้ เพราะต้องเข้าเรือนนอนตั้งแต่บ่าย ออกมาอีกครั้งก็เช้าแล้ว ตอนนี้ย้ายมาอยู่แดนชราเพราะอายุมาก ได้รับผ่อนผันให้ไม่ต้องทำงาน แต่มีโรคประจำตัวเรื่องข้อเข่าเสื่อม โรคหัวใจ และความดันสูง สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำสบายดีตามอัตภาพ อยู่ร่วมเรือนนอนกับลูกน้องอดีตตำรวจที่ต้องโทษคุมขังอีก 2 คน หากมีโอกาสออกจากคุก จะไปทำไร่ยางพาราที่อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งตนซื้อที่ดินไว้กว่า 500 ไร่ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชการ ตำรวจ หรือการเมืองอีก ยืนยันว่าตนไม่มีอภิสิทธิ์ในเรือนจำ สำหรับนักโทษซึ่งเคยตนถูกจับกุมตัวดำเนินคดีและถูกคุมขังในเรือนจำ ก็ได้อโหสิกันไปแล้ว“สำหรับคุ้มพระลอที่จ.ตาก ไม่เกี่ยวข้องกับวงการตำรวจ ตนได้โอนให้ลูกไปแล้ว โดยลูกของตนไม่อยู่ในวงการตำรวจหรือราชการ เป็นผู้รับเหมา ไม่มีอิทธิพลใดๆอีกแล้ว ที่ผ่านมามีข่าวว่า คนเห็นผมออกไปนั่งไนบาร์ ภรรยานั่งรถแท็กซี่มาด่าถึงในเรือนจำ นึกว่าหนีไปเที่ยว ”พล.ต.ท.ชลอกล่าว พล.ต.ท.ชลอ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรายละเอียดในคดีความนั้น ได้ให้ข้อมูลกับดีเอสไอไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาตนไม่แน่ใจในความจริงใจของรัฐบาล จึงไม่กล้าให้ข้อมูล ที่ผ่านมาไม่ใรให้เข้ามาถามพบ แต่เคยมีตำรวจเข้ามาถาม แต่ถามแล้วก็ไม่มีผลอะไร แต่ตนคิดว่ารัฐบาลนี้นายสมพงษ์มีความจริงใจและกระตือรือร้นมาก และเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมคนแรกที่เข้ามาเยี่ยมถึงในคุก ส่วนเรื่องความปลอดภัยในเรือนจำนั้น คงไม่มีอะไรต้องห่วง ตอนนี้ตนก็เหมือนคนตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ให้การดูแลเป็นอย่างดีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีฆ่านักการทูตซาอุ 4 ราย และคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2533 โดยดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษสมัยที่นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จากนั้นมีความพยายามจะรื้อฟื้นคดีอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งคดีฆ่านักการทูตศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯซึ่งเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย นั้น อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ทำให้การรื้อฟื้นคดีจะทำได้ต่อเมื่อมีหลักฐานใหม่
(หนังสือพิมพ์ มติชน 2008)
และจากบทความที่กล่าวถึงเกรียงไกร เตชะโม่ง ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกวันที่ 26 กันยายน 2551 (สยามมีเดีย 2008) ทำให้เราได้ค้นพบว่าความคืบหน้าล่าสุด "ชีวิตหลังพ้นโทษ" ของเกรียงไกร ก็ไม่แตกต่างจากอดีตนักโทษคนอื่นๆ เลย .. เขาไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคม และขาดความมั่นใจในการเผชิญชีวิตนอกห้องขัง หลังพ้นโทษไม่นานเกรียงไกรเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่น อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง กับภรรยา ส่วนลูกชายเข้ามาขายแรงงานใน กทม.นานๆ จึงกลับไปเยี่ยมสักครั้ง สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและปฏิเสธที่จะรื้อฟื้นความทรงจำหนหลัง
"ณรงค์ อินต๊ะพันธ์" นายก อบต.แม่ปะ ซึ่งคุ้นเคยกับเกรียงไกรดีบอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่าแม้จะพ้นโทษมานานแล้ว แต่เกรียงไกรยังคงเก็บตัวอยู่เฉพาะภายในบ้านพัก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ทุกครั้งที่หมู่บ้านมีงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทุกวันนี้เกรียงไกรมีรถกระบะเก่าๆ อยู่ 1 คัน วิ่งรับจ้างขนทรายไปส่งตามสถานที่ก่อสร้าง นอกจากทำนาในที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ประมาณ 10 ไร่ ฐานะพอกินพอใช้ หาเช้ากินค่ำ ไม่แตกต่างจากชาวบ้านแม่ปะหลวงรายอื่นๆ "เขาไม่สนทนากับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับนักข่าวหากพบหน้าจะเดินหนีทันที เคยถามเขาเหมือนกันว่าหนีหน้าคนอื่นทำไม เขาบอกว่าไม่อยากคุยด้วยเพราะนักข่าวชอบถามแต่เรื่องเดิมๆ ที่ตัวเขาอยากลืม"
Reference:
หนังสือพิมพ์มติชน 2008,'ป๋าลอ' น้ำตาคลอ หลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ', accessed 1/11/2008, from
สำนักข่าวไทย 2008, นพดล เตรียมฟื้นคดีเพชรซาอุฯ หวังยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต, accessed 1/11/2008, from
เสรีไทย 2008, เพขรซาอุฯ เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง , accessed 1/11/2008, from
สยามมีเดีย 2008, ที่นี่ตำรวจไทย: ตอน เพชรซาอุ, accessed 1/11/2008, from
http://www.siammedia.org/news/thailand/20080926_04.php
อาทรผไท, อ 2008, โจรกรรมเพชรซาอุ , accessed 1/11/2008, from
http://www.angkul007.com/Blog/?p=27
http://www.angkul007.com/Blog/?p=27
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)