วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สมัชชาประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการครั้งที่ 1 (วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51)

ขอเชิญองค์กรภาคประชาชน นักศึกษา และบุคคลที่รักความเป็นธรรมทุกท่าน
เข้าร่วม...

สมัชชาประชาชน
เพื่อรัฐสวัสดิการ
ครั้งที่ 1

วันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย. 51
09.30 – 18.00 น.
ห้อง 102 ตึก 1 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

เช้า
แลกเปลี่ยนข้อเสนอเพื่อขยายพื้นที่ประชาธิปไตยคัดค้านระเบียบใหม่ของพันธมิตรฯ และอำนาจทหาร

วิทยากร
ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์จุฬาฯ
อนุธีร์ เดชเทวพร กลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย ม. ธรรมศาสตร์
สมาภรณ์ แก้วเกลี้ยง นักศึกษาสิทธิมนุษยชน ม.มหิดล
วิษรุต บุญยา กลุ่มผีเสื้อขยับปีก ม.รามคำแหง
ผู้แทนจากสหภาพแรงงานไทรอัมฟ์

บ่าย
แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการรณรงค์เพื่อรัฐสวัสดิการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความยากจน ก้าวพ้นประชานิยม

วิทยากร
กมลเศรษฐ เก่งการเรือ สมาคมฟ้าสีรุ้ง
เสาวลักษณ์ กองก้วย องค์กรพิการสากล
นุ่มนวล ยัพราช เลี้ยวซ้าย
บุญผิน สุนทรารักษ์ สหภาพแรงงานกรุงเทพผลิตเหล็ก
วิชุชพล สุวรรณวัฒน์ สหภาพแรงงานอิเลกทรอนิกและยานยนต์

รายละเอียดเพิ่มเติมจาก 0813469481 ji.ungpakorn@gmail.com หรือ http://www.pcpthai.org/
ที่มา: พรรคแนวร่วมภาคประชาชน (หมายเหตุ "พรรคฯ ยังไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายพรรคการเมือง")

รื้อฟื้นคดีเพชรซาอุ..เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง..ทำให้ผู้คนหลายคนต้องตายหรือทุกข์ทรมาน..ต้นตอแห่งสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในสมัย นายนพดล ปัทมะ ที่ยังดำรงตำแหน่ง รมว ต่างประเทศอยู่ ได้มีข่าวออกตามสื่อต่างๆทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับความพยายามในการรื้อฟื้นคดีเพชรซาอุฯ .. ซึ่งไทยจะใช้เป็นความหวังเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียที่ระหองระแหงกันมากว่า 18 ปี... ลองอ่านรายละเอียดของข่าวดูครับ:-

กรุงเทพฯ 5 มี.ค.2008 - นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะของนาย Nabil H. Ashri อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย วันนี้ (5 มี.ค.) ว่า มีการหารือและย้ำในเรื่องที่ประเทศไทยต้องการปรับระดับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้เป็นระดับปกติ คือ มีสถานเอกอัครราชทูต และเอกอัครราชทูต ที่ผ่านมามีปัญหาจากคดีนักการทูตและนักธุรกิจซาอุฯ ถูกสังหารในประเทศไทย และเรื่องเพชรซาอุฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ซาอุดีอาระเบียยังไม่ปรับระดับความสัมพันธ์กับไทย“ผมจะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาทางคลี่คลายเรื่องดังกล่าว และหาคำตอบให้ประเทศซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อตามคนผิดมาลงโทษให้ได้ เนื่องจากที่ไทยได้สูญเสียความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุดีอาระเบียไม่ออกวีซ่าให้แรงงานไทย จากที่ปี 2532 มีแรงงานไทยในซาอุฯ ถึง 150,000-200,000 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 10,000 คนเท่านั้น ทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศถึง 200,000 ล้านบาท ดังนั้น การรื้อฟื้นคดีต้องดูว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อรายงานให้ซาอุดีอาระเบียทราบโดยเร็ว” นายนพดล กล่าว.
(สำนักข่าวไทย 2008)

สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย อยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากเช่นกัน ประเทศซาอุทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง
1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุ
2. เรื่องนักธุรกิจซาอุถูกอุ้ม
3. เรื่องโจรกรรมเพชร

แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยบริบูรณ์ ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทย ถูกเรียกมาใช้หมด แต่ละคดีก็จบหรือสรุปแบบมีเงื่อนงำ คือทิ้งข้อกังขาให้คนที่สนใจขบคิด
ระยะแรกประเทศซาอุเข้มงวดเรื่องการส่งแรงงานไทยไปซาอุ และห้ามคนซาอุเดินทางเข้าไทย รัฐบาลไทย รวมแล้วถึง 5 ชุด 5 สมัย พยายามแก้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ทำให้มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุฯ หลายครั้งหลายครา คดีบางเรื่องก็ยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดี๋ยวนี้
สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯ ได้ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยไปซาอุ แพงมากๆ หัวละถึงแสนบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯ ก็พยายามปราบเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการออกวีซ่า และส่งคนเข้ามาสืบสวนลับๆ
จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง

1. เมื่อประมาณปลายปี 2531 ขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุยังฟูเฟื่อง เวลาเดียวกันที่ซอยนานา ใน กทม. และที่พัทยาใต้ แถวมาลินพลาซ่า รุ่งเรืองคราคร่ำไปด้วยคนซาอุ เกือบจะเรียกได้เลยว่าลักษณะเป็นเมืองแถบตะวันออกกลาง ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและเที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดนทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายชั่วโมงจากทุกสารทิศไปขุดทองที่พัทยา
- กลุ่มซาอุอยู่แถวพัทยาใต้ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ด้านล่าง
- ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าแถวฝั่งทะเลย่าน Baby อะโกโก้เป็นถิ่นของนายโรต้าแก๊งเยอรมัน
- พัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์
- ไต้หวันอยู่พัทยานาเกลือ
สถานบริการเปิดถึงตี 5 ... ปลายปี 2531 มี จนท. กงศุลของซาอุฯ ถูกลอบสังหารที่พัทยา ขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์ พัทยาใต้ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายมาโดย จยย. ขับขี่ 1 คน ซ้อนท้าย 1 คน แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถจยย. ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถ จยย. โดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือ 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย. ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรถ จยย.อยู่แล้วคนร้ายเป็นคนยิงก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดก้องดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่ม เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย นั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์อยู่กับเพื่อนๆ ประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ทุกคนไม่มียานพาหนะ เพราะมาเที่ยวพักผ่อน มิได้มาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เห็นคนร้ายหลังเสียงปืนดัง และได้ยินเสียงเร่งมอเตอร์ไซค์ ไม่สามารถจำอะไรได้เลย ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุ ก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ทุกคนยอมรับฝีมือการยิงแม่นยำ และมีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด

2. เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโท ประเทศซาอุฯ ประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือบังมุด ปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง

ขอพักคดีเรื่องฆ่าไว้ก่อนชั่วคราว เพราะการฆ่ายังไม่จบ หลังจากคดีบังมุดแล้ว ยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯ ตายอีก 3 ศพ รวมทั้งนักธุรกิจของประเทศซาอุ ถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน เหตุที่พักไว้เพราะมีคดีใหญ่คือ คดีโจรกรรมเพชรซาอุเกิดขึ้น

3. ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆ เดือนธันวาคม เริ่มมีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า ทางรัฐบาลประเทศซาอุฯ ประสานมายังรัฐบาลไทย ว่ามีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุ โจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯ เข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯ มากยิ่งขึ้น ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯ ยืนยันว่าคนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทย ที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯ และได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุ
หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าว เรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้าย คือ นายเกรียงไกร เตชะโหม่ง อยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมตำรวจ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬ ซึ่งนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก. ซึ่งควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน
การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นจะส่งตัวผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติ ส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้ ระหว่างเจรจาเรื่องส่งตัวหรือไม่ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ นสพ.ลงข่าว เพิ่มความกดดันให้กับ นายเกรียงไกร เตชะโม่ง เป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกส่งตัวไป ก็ถูกแขวนคอตายสถานเดียว เพราะนายเกรียงไกร เห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯ มาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดา ยังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาล ผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตสถานเดียว จึงทำให้นายเกรียงไกร หนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไนต์พร้อมฆ่าตัวตาย กล่าวคือถ้าถูกจับตัวได้ ก็จะรีบกินยาไซยาไนต์ทันที
รัฐบาลไทยเลือกหนทางตัดสินใจไม่ส่งตัวนายเกรียงไกร ไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่ากฎหมายของประเทศซาอุฯ รุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย
... หมวด 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 ระบุไว้ว่า “ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้
...หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”
เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ส่งผู้แทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุ ก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ปากคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้ กองปราบปราม เป็นพนักงานสอบสวน

กลับมาดูทางเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า คนไทยตัวเล็กๆ ไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไรในรั้วในวัง ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร ผ่านการตรวจตราของทั้งสองประเทศ เวลาออกเมือง และเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตายังกับสับปะรด หลุดรอดไปได้อย่างไร
แทบไม่น่าเชื่อว่าแรงงานไร้ฝีมือ เรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง จะเป็นต้นเหตุทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีมายาวนาน

เมื่อกว่า 30 ปีแล้วคนไทยนิยมหนีความแร้นแค้นไปขุดทองในประเทศซาอุดีอาระเบีย "เกรียงไกร เตชะโม่ง" เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านแม่ปะหลวง หมู่ 1 ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

หลังจากเรียนจบ ม.3 ก็ควักเงิน 2 หมื่นบาทให้นายหน้าในจังหวัดส่งตัวไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย ... เกรียงไกรถูกส่งไปเป็นแรงงานไร้ฝีมือในบริษัทรับจ้างทำความสะอาดแห่งหนึ่ง ที่รับจ้างทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส กษัตริย์ซาอุฯ ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องต่างๆ กว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน แทบทุกห้องประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่า เพชรนิลจินดา แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เพราะซาอุฯ เป็นประเทศมุสลิมบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการลงโทษผู้ทำผิดรุนแรง คดีอาชญากรรมโดยเฉพาะลักทรัพย์จึงไม่มีให้เห็น แต่สำหรับเกรียงไกรแล้วความหละหลวมที่ว่านี้เปิดโอกาสให้เขาลงมือลักทรัพย์สินของกษัตริย์ซาอุฯ ได้โดยง่าย


จากเรื่องจริง .. วงใน... ของผู้ที่อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคที่ 2 ท่านหนึ่งคือ พล.ต.ต. อังกูร อาทรผไท (อาทรผไท 2008) ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จอมโจรบันลือโลกผู้นี้ .. อังกูรได้เขียนเรียบเรียงไว้ว่า :-
.... ต่อมาเมื่อมีการติดตามเพชรกลับคืนมาได้ นำส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่าเพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งกลับคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯ ไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯ เข้าประเทศไทย (การสอบสวนภาคแรกนั้นกองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวน และจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบ พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ขณะนั้นยศ พ.ต.ท. ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวน เพชรซาอุ ภาคที่ 2 นี้ด้วย เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนู ได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวน มี 2 เรื่อง
1. กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ
2. กรณีโจรกรรมเพชรซาอุ
ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรกออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะพูดถึงในโอกาสต่อไป
ส่วนกรณีโจรกรรมเพชรซาอุ ภาคที่ 2 เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกร ที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาลได้อีกหลายคน) และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกหลายคน
เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุ ภาค 2 นี้ ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้น ตามจุดต่างๆ ในครั้งแรกนั้น เมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใดก็ทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ แต่พอนำเข้า กทม. แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เหตุเพราะมีการจัดทำบันทึกใหม่ แต่ก็จับกุมได้แต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ
ส่วนบลูไดมอนด์ เพชรเม็ดใหญ่ ที่ทางซาอุฯ ต้องการทราบไม่รู้อยู่ที่ใด
ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการสืบสวนตรวจค้นตามจุดต่างๆ ที่ต่างจังหวัดแล้ว พอกลับ กทม. มารวมทำบันทึกใหม่ เป็นฉบับเดียวเพื่อจะให้เรียบร้อย ทำให้สิ่งของบางรายการขาดหายไป
ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุภาค 2 พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ทำหน้าที่รับตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น. จะไปรับตัวนายเกรียงไกร ที่เรือนจำอยุธยา แล้วพาตัวไปสอบสวน ที่ บชก. ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์ คุมตัวมาด้วย
มีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกร นั่งติดกัน คุยกันในช่วงเดินทางประมาณ 4-5 วัน เรื่องรายละเอียดต่างๆ เล่าสู่กันฟัง ไม่มีผลทางคดี เพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ลักษณะของนายเกรียงไกร เป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันที เมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คิดคำนึงก่อนพูด เชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่นิ้วกลางมือซ้าย ฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้ว เพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล บ่งบอกว่าเป็นอาชญากรตัวยง (นายเกรียงไกร เดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯ เช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour แรงงานไร้ฝีมือ ทำงานอยู่ในบริษัท รับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้ มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน) ในช่วงเกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในเป็นอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ มเหสี และห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาล และมเหสี แปรพระราชฐานพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึก ตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัทเช้าไปส่ง เย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงาน และเซ็นกลับ เพื่อเป็นการเช็คสอบว่าใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้าคนงานที่คอยถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์
สิ่งที่ควรทราบ คือประเทศซาอุเป็นประเทศมุสลิม จะไม่เลี้ยงสุนัข และเป็นประเทศที่กฎหมายแรงมาก คดีลักทรัพย์จะไม่ค่อยมี เพราะกฎหมายลงโทษหนักและทารุณ เช่น คดีลักทรัพย์ ผู้กระทำผิดจะต้องถูกตัดมือ และไม่ค่อยนิยมติดสัญญาณกันขโมย
นายเกรียงไกรเป็นคนฉลาดแกมโกง ไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าว ก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟ ก็ยังมีกุญแจเสียบ
ตอนเช้าคนงานผู้ใดจะไปทำงาน ต้องลงชื่อในบัญชีการทำงานที่หัวหน้าถือ ครั้นตอนกลับนายเกรียงไกรเห็นช่องทาง คือ มีคนงานฟิลิปปินส์บางคนอู้งาน ขอกลับก่อนที่รถของบริษัทจะมารับกลับ โดยรู้กับคนควบคุม โดยเซ็นชื่อมาทำงาน พร้อมเซ็นกลับไว้ด้วย เวลาเดียวกันนายเกรียงไกร ก็พบว่าแม่บ้านที่มาเปิดบ้านให้ทำความสะอาด บางวันก็ไม่ได้มาปิด มาเช็คห้อง เพราะเจ้านายไม่อยู่ และคิดว่าคงไม่มีใครกล้าลองดี
ดูลาดเลา 2 วัน วันที่ 3 นำกระสอบปุ๋ยติดตัวไปด้วย ... เที่ยงของวันที่สอง นายเกรียงไกรไปทำความสะอาดที่วังแห่งนี้ ก็เริ่มวางแผนทันที โดยในวันที่สามนายเกรียงไกร เริ่มนำกระสอบแบบกระสอบปุ๋ย ทบห่อให้เล็กติดตัวไป โดยไม่ให้ใครรู้ แล้วก็เซ็นชื่อไปทำงาน พร้อมเซ็นชื่อกลับไว้ในสมุดหัวหน้างาน พร้อมกับบอกหัวหน้าว่า จะขอเดินทางมาเอง กลับเอง ดังนั้นทุกวันนายเกรียงไกร ก็จะมาทำงาน โดยโผล่เข้ามาทางไหน ไม่มีใครรู้ เพราะตึกมีหลายหลัง หลายทางเข้าออก ทุกเช้าก็จะมาเซ็นชื่อทำงาน พร้อมกับเซ็นชื่อกลับไว้ด้วย ในเวลาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นายเกรียงไกรมิได้เดินทางออกจากวังไปไหนเลย พอหมดเวลาทำงานแต่ละวันแล้ว ก็จะซุกตัวอยู่ในห้อง ในบริเวณตึกที่เห็นว่ามิดชิดไม่มีการตรวจสอบ พอคนงานกลับหมด แม่บ้านไปแล้ว นายเกรียงไกร ก็ออกจากที่ซ่อนเที่ยวค้นหาของมีค่า โดยใช้เวลาเก็บของมีค่าทั้งสิ้น 7 คืน (7 ครั้ง) แล้วของมีค่าทั้งหมดถูกรวบรวมในถุงปุ๋ย เหวี่ยงออกนอกกำแพงในเวลากลางคืน แล้วปีนกำแพงออก นำของมีค่ากลับที่พัก
ประเด็นเรื่องของมีค่านั้นจริงหรือเก๊ เกิดได้หลายทาง
1. นายเกรียงไกร เก็บของมีค่าตามตู้โชว์ ตามลิ้นชัก ตามตู้เซฟที่กุญแจตู้เซฟคาไว้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าที่มาของสิ่งของในตู้โชว์ อาจเป็นของสวยงาม การหาหรือได้มาอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซีเรียส อาจจะมีของไม่แท้บ้างก็ได้
2. ตอนคืนของที่ถูกโจรกรรมจากแหล่งรับซื้อในเมืองไทย ซึ่งร้านรับซื้อรู้ว่าเป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอามาคืน เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขายต่อ หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้ไป
*** ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร ***
นายเกรียงไกร เคยทำงานอยู่ซาอุมาเป็นเวลา 7 ปี รู้ลู่ทาง ทางหนีทีไล่ จุดอ่อน จุดแข็ง ของการปฏิบัติงานของ จนท. ในประเทศซาอุฯ ถนนหนทางต่างๆ สามารถเดินทางไปไหน มาไหนคนเดียวคล่องแคล่ว และเคยส่งของกลับเมืองไทย โดยการบรรจุหีบห่อก่อนแล้วหลายครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน สิ่งของมีค่าที่หยิบฉวยมาจากวังกษัตริย์ไฟซาล ถูกลำเลียงกล่องกระดาษแข็ง ผสมเสื้อผ้าของใช้ปะปนไป โดยของใช้ที่ไม่ค่อยมีค่าอยู่ด้านบน หีบห่อก็ไม่ได้ทำให้สวยงาม การเขียนจ่าหน้าก็เขียนด้วยลายมือ เหมือนคนไม่มีการศึกษา จำนวน 4 กล่อง การกระทำดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้อง ประเมินสถานการณ์ผิด
สิ่งของบรรจุหีบห่อ 4 หีบ น้ำหนักรวม 90 กก. ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเพชรอัญมณีหนักถึง 90 กก. แต่เป็นน้ำหนักรวม เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ประมาณการครึ่งๆ น่าจะใกล้เคียงความจริง
นายเกรียงไกร เป็นคนฉลาดรู้ว่ากษัตริย์ไฟซาล จะเสด็จกลับวังภายใน 15 วัน เพราะฉะนั้นก่อนครบกำหนด นายเกรียงไกรก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยส่งสิ่งของทางพัสดุภัณฑ์ทางอากาศไปก่อน นายเกรียงไกรเดินทางกลับประเทศไทย ก่อนครบกำหนดทำงานถึง 2 เดือน
นายเกรียงไกร เมื่อเดินทางถึง กทม. แล้ว ก็ไปติดต่อรับสิ่งของพัสดุภัณฑ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่นายเกรียงไกร เคยทำในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของไทย ก็เคยตรวจของนายเกรียงไกรมาก่อนแล้วหลายครั้ง ซึ่งส่วนมากคนไปทำงานตะวันออกกลาง มักจะนำสิ่งของที่ตนใช้อยู่ที่ต่างประเทศ กลับติดตัวมา ไม่ค่อยมีราคาค่างวด มีการเสียเงินใต้โต๊ะกัน กล่องหรือหีบห่อละ 7 พันบาท ส่วนคราวนี้นายเกรียงไกร บอกว่ารู้สึกเสียวๆ เหมือนกัน เพราะเจ้าหน้าที่ศุลกากรสุ่มเปิด 1 กล่อง แล้วเอามือหยิบสิ่งของที่อยู่บนๆ ขึ้นมาซึ่งเป็นเสื้อผ้า ถ้าหากล้วงลึกลงไปอีกฝ่ามือเดียว ก็จะถึงอัญมณีทันที
นายเกรียงไกร จ่ายค่าผ่านด่านศุลกากร คิดราคาแบบเหมาจ่าย สิ่งของต่างๆ รวม 4กล่องกระดาษรวมจ่ายเพียง 7 พันบาท
ทางด้านกษัตริย์ไฟซาล กลับจากพักร้อนกลับมาที่วัง ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะข้าวของมีค่ามีจำนวนมาก และการหยิบฉวยของนายเกรียงไกร เลือกหยิบบางชิ้นไม่ให้ผิดปกติ
กรรมย่อมเห็นผลทันตา กษัตริย์ไฟซาล เมื่อกลับมาถึงวังก็จะทำพิธีละหมาด ซึ่งการละหมาดของกษัตริย์เคร่งครัดมาก คือการเลือกทิศ ซึ่งจะต้องหันหน้าไปทาง “ไบตุ้ลเลาะห์” หรือตรงตำแหน่งที่ประดิษฐ์สถานหินศักดิ์สิทธิ์ (กะบะ) การบอกทิศที่ถูกต้อง จำเป็นต้องใช้นาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งมิตรกษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง ประทานให้มา โดยนาฬิกาเรือนดังกล่าวมีเข็มชี้บอกทิศทางที่นั่งทำพิธีละหมาด กษัตริย์ไฟซาล หานาฬิกาเรือนดังกล่าวไม่พบ จึงเกิดเอะใจตรวจดูทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่า พบว่าเพชรอัญมณีหายไป
เรียกบริษัททำความสะอาดสอบ ... การตรวจสอบสอบสวนเกิดขึ้น บริษัทที่รับจ้างทำความสะอาดถูกเรียกตัว พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกเรียกสอบเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบหลายวัน มีคนงานไทยคนหนึ่ง ที่ทำงานและพักด้วยกันกับนายเกรียงไกร คนงานไทยผู้นี้รู้ทันทีว่านายเกรียงไกร ต้องเป็นคนทำแน่ ทันทีที่ทางการซาอุฯ ปล่อยตัวคนงานนี้ออกมา คนงานนี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย แล้วตรงเข้าหานายเกรียงไกรทันที
การ Black mail เกิดขึ้น คนงานดังกล่าวถึงตัวนายเกรียงไกรก่อนทางการไทยจะได้ข่าว คนงานดังกล่าวขู่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับตัวนายเกรียงไกร ส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุ ของมีค่าที่นายเกรียงไกรโจรกรรมมาถูกแบ่งให้นัก Black mail นี้ทันที นายเกรียงไกร รู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดเส้นใหญ่ๆ เม็ดโตๆ มาก่อน แยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้น มีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกร ขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปาง นำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จว.พิษณุโลก ตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท
น่าสงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่า เพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณีเม็ดไหนทุบไม่แตก ก็เชื่อว่าเป็นเพชรเก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท
ของมีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุ ต้องถูกแขวนคอแน่ นายเกรียงไกรร่ำลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไนต์ติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัว จะถูกจับกุม จะกินไซยาไนต์ทันที
ถึงแม้จะจวนตัว นายเกรียงไกรก็ยังเป็นห่วงทรัพย์สิน โดยรวบรวมใส่ถุงพลาสติก แล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ ... ญาติพี่น้องเป็นห่วง แต่นายกรียงไกร บอกว่าสามารถเอาตัวรอดได้ และบอกด้วยว่าหากจำเป็นหรือเดือดร้อน จะเป็นผู้ติดต่อมาหาญาติเอง ... นายเกรียงไกรมุ่งหน้าเดินป่าไปทาง อ.แม่สอด มุ่งเข้าสู่แดนพม่า ขั้นแรกมีคนตามไปดูแลด้วย เป็นคาราวาน พอนานๆ เข้าคนที่ติดตามทนลำบาก ไม่ไหวหนีกลับหมด

ทีมล่าฝ่ายทีมล่า นำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง และลูกน้องซึ่งเป็นตำรวจกองปราบอีกหลายคน แบ่งกำลังติดตามเป็น 5 สาย ญาติพี่น้องนายเกรียงไกร ถูกเรียกมาสอบทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับนายเกรียงไกร ถูกคายหมด ไม่มีใครรู้ว่านายเกรียงไกร หลบหนีไปที่ใด แต่ที่รู้แน่ๆ คือนายเกรียงไกร ไม่ยอมให้จับเป็น ไม่ได้หมายว่าจะต่อสู้ แต่จะชิงกินยาฆ่าตัวตายก่อนถูกจับ กำลังทั้ง 5 สาย ถูกสั่งให้ออกล่าสกัดกั้นการหลบหนี ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถจับกุมผู้ร่วมมือ ช่วยจำหน่ายทรัพย์ ช่วยพาหลบหนีได้ 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมลักทรัพย์หรือรับของโจร กำลังส่วนหนึ่งติดตามหาทรัพย์สินที่นายเกรียงไกรขาย จากนายเกรียงไกรไปยังพ่อค้าทองที่ลำปาง จากลำปางไปยังพ่อค้าทองที่ จว.พิษณุโลก จากพิษณุโลกสู่ร้านค้าเพชร “สันติมณี” ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ของนายสันติ - นางดาราวดี ศรีธนขันธ์
ทีมล่าหาตัวติดตามหานายเกรียงไกร อย่างไม่ลดละ ต้องปีนเขาข้ามป่าข้ามทุ่ง แต่ไม่พบร่องรอย จึงได้วิเคราะห์แผนใหม่ ว่านายเกรียงไกร ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างแน่นอน และจากการสืบเสาะข้อมูลทราบว่า นายเกรียงไกรชอบผู้หญิงมาก ดังนั้นการที่จะหลบอยู่ในป่า คงอยู่นานไม่ได้ ... ชุดที่ 1 เฝ้าการเคลื่อนไหวของญาติ กำลังส่วนหนึ่ง ถูกวางซุ่มดูความเคลื่อนไหวของญาติ ในช่วงเกิดเหตุนั้น ระบบการสื่อสารไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่มี การติดต่อสื่อสารจะใช้จดหมายกับโทรเลข เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน ในลำปาง ถูกประสานให้ร่วมมือทันที เวลาล่วงเลยเป็นเดือน ไม่มีจดหมายติดต่อไปยังพ่อแม่ พี่น้องของนายเกรียงไกรเลย มีแต่จดหมายถึงกำนัน ประมาณ 2 ครั้ง ... ชุดสืบสวนใช้ไหวพริบ เรียกกำนันไปสอบขอดูจดหมาย ปรากฏว่าเป็นจดหมายของนายเกรียงไกร เขียนถึงพ่อแม่ ให้ส่งเงินทางธนาณัติไปให้ ระบุชื่อผู้รับเป็นผู้หญิง ที่อยู่ที่แม่สอด จ. ตาก
ผู้หญิงที่นายเกรียงไกร ให้ส่งเงินไปให้ต้องมีความเชื่อมโยงกับนายเกรียงไกร การติดตามหาตัวหญิงผู้ที่จะรับธนาณัติเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทีมงานสืบสวนเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเป็นหญิงขายบริการ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบตามซ่องโสเภณี ที่แม่สอดทุกแห่ง ก็พบตัวของหญิงดังกล่าว และถูกดึงตัวมาสอบอย่างลับๆ จนรู้ที่พักของนายเกรียงไกร ว่าอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในแม่สอด ... การวางแผนจับกุมนายเกรียงไกร ต้องรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่กลัวจะต่อสู้ หรือหลบหนี แต่ต้องคิดให้รอบคอบว่าทำอย่างไร จึงจะจับตัวได้เป็นๆ ป้องกันไม่ให้ดื่มยาฆ่าตัวตาย ... วางแผนเสร็จเรียบร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบนำโดย พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร กับพวก ให้หญิงแฟนนายเกรียงไกร นำหน้าเคาะประตูห้องพักโรงแรม ตำรวจต้องหลบตัวต่ำและอยู่ห่างๆ เพราะประตูห้องพักมีกล้องตาแมวมองจากด้านในออกมาได้ เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูสักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงถอดกลอนประตูดังแกร๊ก ชุดปฏิบัติงานรู้หน้าที่ เริ่มปฏิบัติการทันที คนหนึ่งร่างใหญ่กระแทกประตู ซึ่งปรากฏว่าติดโซ่ แต่ตำรวจเตรียมการณ์ไว้ก่อนแล้ว คือเพิ่มแรงกระแทกเต็มที่ หมุดที่ยึดโซ่ขาด ประตูเปิดออก ... พ.ต.ท.เจษฎากร พุ่งหลาวบกเข้าใส่ร่างคน ซึ่งมีอยู่คนเดียว จะเป็นใครไม่ได้นอกจากนายเกรียงไกร มือข้างหนึ่งของ พ.ต.ท.เจษฎากร ปิดปากนายเกรียงไกร อีกมือหนึ่ง คว้าจับแขนเกรียงไกรไว้ และเป็นจริงตามคาด ยาชนิดหนึ่งไม่ได้พิสูจน์ทราบเป็นยาอะไร อยู่ในมือขวาของนายเกรียงไกร ถูก พ.ต.ท.เจษฎากร จับไว้ได้ ตำรวจอื่นๆ มาช่วย จับกุมนายเกรียงไกร ได้สำเร็จ นายเกรียงไกรถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน นายเกรียงไกรรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุดและปัจจุบันพ้นโทษแล้ว

เกรียงไกรถูกแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษจำคุก 1-7 ปี เขาให้การรับสารภาพศาลจึงลดโทษ และติดคุกจริงไม่ถึง 5 ปี
จากวันนั้นถึงวันนี้เกรียงไกรได้รับอิสรภาพมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุฯ ถึงจุดต่ำสุด และยิ่งตอกย้ำเมื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ไปเยือนซาอุฯ เพื่อฟื้นสัมพันธ์ แต่ต้องผิดหวังเพราะซาอุฯ กล่าวหาว่าไทยเอาเพชรปลอมไปคืนแถมคืนให้ไม่ครบ โดยเฉพาะ "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ก็ยังไม่ได้คืน ปฏิบัติการติดตาม "บลูไดมอนด์" ในไทยจึงเกิดขึ้น โดยนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ถึงกับว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษแกะรอยตามหาเพชรอย่างลับๆ ควบคู่ไปกับการทำงานของตำรวจยุคที่มี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดี เกรียงไกรให้การในทำนองว่าบลูไดมอนด์น่าจะอยู่ในมือของ "สันติ ศรีธนะขัณฑ์" เจ้าของร้านเพชรสันติมณี ย่านเจริญกรุง จนกลายเป็นที่มาของคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ และเป็นการปิดตำนาน 2 ตำรวจมือปราบ เจ้าของฉายาสิงห์เหนือและเสือใต้ ใครจะเชื่อว่าตำรวจไทยระดับพลตำรวจเอก จะมีคำสั่งโหดเหี้ยมถึงขั้นข่มขืนแม่ก่อนสังหารด้วยท่อนเหล็ก ทั้งแม่และลูกชายที่ตร.จับมาเป็นตัวประกัน เพื่อไถเงินจากผู้ต้องสงสัยในคดีที่แรงงานไทยไปขโมยเพชรมาจาก ซาอุดิอาระเบีย

รายละเอียดของการสมรู้ร่วมคิดของทีมตำรวจที่สุดท้ายกลับมาเกี่ยงข้องกับนายตำรวจระดับบิ๊กๆอย่างอดีตสิงห์เหนือและเสือใต้มีดังนี้... หลังจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ชาว จ.ลำปาง ขโมยเพชรจากพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียหนีกลับประเทศไทย และ รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก ทั้งการขอให้ส่งนายเกรียงไกรกลับไปรับโทษในประเทศซาอุฯ รวมทั้งการติดตามเพชร "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ ที่กษัตริย์ไฟซาลต้องการคืนมากที่สุด และด้วยเพชรเม็ดนี้นี่เองที่ นำมาสู่การปิดฉากชีวิตราชการของ 2 ตำรวจมือปราบชื่อดังอย่าง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ เจ้าของฉายา "สิงห์เหนือ" ขณะที่ พล.ต.ท.โสภณ สะวิคามิน เจ้าของฉายา "เสือใต้" ก็พลอยติดร่างแห ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับเรื่องดังกล่าว ต้องถูกจับกุม ดำเนินคดี แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะไม่มีพยานหลักฐานเกี่ยวพันถึง ... รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจใน ขณะนั้น เร่งติดตามหาเพชรซาอุฯ อย่างเร่งด่วน จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะตำรวจชุดเฉพาะกิจติดตามหาเพชรซาอุฯ โดยมี พล.ต.อ.ชาญ รัตนธรรม รองอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้า โดยมีมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ-เสือใต้ พล.ต.ท. ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ รวมอยู่ด้วย ... หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.ท.ชลอ ให้ลูกน้องพานายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชร "สันติมณี" ย่านสะพานเหล็ก ซึ่งนายเกรียงไกรระบุว่ารับซื้อเพชรที่ขโมยมาหลายรายการไปกักตัวไว้ที่คุ้มพระลอ จ.ตาก เพื่อเค้นหาเพชร "บลูไดมอนด์" ที่สงสัยว่านายสันติยังคงเก็บไว้ แต่ไม่เป็นผลและต้องรีบปล่อยตัวนายสันติออกมา เพราะนางดาราวดี ภรรยาของนายสันติ เข้าขอความช่วยเหลือจากนายอารี วงศ์อารยะ ปลัดกระทรวงมหาดไทย... จากนั้นเป็นต้นมา นายสันติถูกลูกน้องของ พล.ต.ท.ชลอ ติดตาม เพื่อหาโอกาสพาตัวไปสอบถามเรื่องเพชรอีกหลายครั้ง แต่นายสันติได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่จัดชุดมาคุ้มกัน จึงหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง .. กระทั่งวันที่ 2 กรกฎาคม 2537 นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรของนายสันติถูกคนร้ายลักพาตัวไประหว่าง เดินทางออกจากบ้านพักในหมู่บ้านมัณฑนา ย่านตลิ่งชัน เพื่อไปหานายสันติ ที่โรงแรมรอยัล ออร์คิด ... นายสันติตามหาภรรยาและลูกอยู่ 5 วัน แต่ไม่มีความคืบหน้า แม้จะขอความช่วยเหลือไปยัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทยในขณะนั้นแล้วก็ตาม จึงโทรศัพท์ไปหา พล.ต.ท.ชลอ และนัดพูดคุยกันที่โรงแรมไฮแอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว ทันทีที่พบหน้า พล.ต.ท.ชลอ ถามนายสันติว่าแจ้งความหรือยัง เมื่อทราบว่ายังไม่ได้แจ้งความก็รับอาสาจะช่วยติดตามตัวให้ โดยต้องมีค่าใช้จ่าย และยังขอหมายเลขวิทยุติดตามตัวของนายสันติไว้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อ ... นายสันติไปขอความช่วยเหลือจากนายสุนทร ไชยอนันต์สุจริต เจ้าของโรงแรมบูรพา เพื่อนสนิท เพื่อขอยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามหาภรรยา และเย็นวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ก็มีคนร้ายโทรศัพท์มาหานายสุนทร เพื่อให้แจ้งนายสันติ ให้นำเงินค่าไถ่จำนวน 3 ล้านบาท โดยนัดหมายให้นำเงินไปวางไว้ที่หน้าหลักกิโลเมตร บนถนนสายหนึ่งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ในคืนวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 แต่หลังจากนายสุนทร และนายโชติชัย เชาว์นิธิ เพื่อนสนิทอีกรายนำเงินไปวางไว้ตามที่คนร้ายต้องการแล้ว ปรากฏว่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด ... หลังจากนั้นอีก 2 วัน พล.ต.ท.ชลอนัดหมายให้นายสันติไปพบที่โรงแรมแอร์พอร์ต และแจ้งให้นายสันติทราบว่าคนร้ายนัดให้ไปเจรจาที่ปั๊มน้ำมันโมบิล ใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่นายสันติขอให้ พล.ต.ท.ชลอ เจรจาแทน ซึ่ง พล.ต.ท. ชลอ รับปาก ก่อนจะแยกย้ายกัน ...กระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอนัดนายสันติให้ไปพบอีกครั้งที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยแจ้งให้ทราบว่า คนร้ายนำตัวบุตรและภรรยานายสันติมาอยู่ในพื้นที่ อ.หินกอง จ.สระบุรี และได้เรียกเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท นายสันติเจรจา ต่อรองเหลือ 1 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ รับปากจะเจรจาให้ .. ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอเรียกนายสันติไปพบอีกครั้ง ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค โดยกำชับไม่ให้แจ้งความ เพราะไม่เช่นนั้นบุตรและภรรยาอาจถูกฆ่าตาย และยืนยันว่าอีก 2-3 วัน นายสันติจะได้บุตรและภรรยาคืน แต่ไม่เป็นดังนั้น เมื่อ เช้าวันที่ 1 สิงหาคม 2537 มีคนพบนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี เสียชีวิตอยู่ภายในรถเบนซ์ ทะเบียน 8ฉ-3237 ซึ่งตกอยู่ข้าง ทางริมถนนมิตรภาพ พื้นที่หมู่ 2 ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี .. พนักงานสอบสวน สภ.อ.แก่งคอย ระบุถึงสาเหตุการตายของบุคคลทั้งสองว่า เกิดจากอุบัติเหตุ โดยมี ผบก.สถาบัน นิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ยืนยันสาเหตุการตาย แต่ นพ.พรชัย สุธีรคุณ แพทย์ผู้ตรวจศพคัดค้าน และระบุสาเหตุการตายของ คนทั้งสองว่าเป็นฆาตกรรม ... ข้อกังขาดังกล่าวนำมาสู่การรื้อคดีใหม่ โดย พล.ต.อ.ประทิน ได้มอบหมายให้กองปราบปรามยุคที่มี พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็นผู้บังคับการ รับผิดชอบคลี่คลายคดี กระทั่งนำมาสู่การจับกุมพล.ต.ท.ชลอ และพวก รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ ด้วย
ถุงกระดาษโชคดีที่ภายในมีบิลค่าที่พัก "บังกะโลกวีวิลล่า" ใน จ.สระแก้ว เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ชุดสืบสวน กองปราบปรามแกะรอยติดตามจับกุม พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค ด.ต.สมนึก เวชศรี นายวีระชัย พลทิแสง นายนิคม มนต์ศิริ นายสำราญ แจ่มจำรัส นายสมหมาย พุดเทศ และนายสุภาพ ช่างสาย หลังจากพนักงานบังกะโล ดังกล่าวให้การว่า ทั้งหมดจับผู้ตายทั้งสองมาคุมขังไว้ภายในห้องพักของบังกะโล .. ต่อมา พ.ต.ท.พันศักดิ์รับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.ชลอ ให้จับตัวนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี ไปกักตัวไว้ เพื่อบีบให้นายสันติให้ความร่วมมือในการติดตามเพชรซาอุฯ แต่นายสันติไปร้องเรียนผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงต้องจัดฉากเป็นการ ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และเกรงว่า หากปล่อยตัวทั้งสองไปความลับจะแตก จึงจำเป็นต้องฆ่าทิ้ง โดย ด.ต.สมคิด เป็นผู้ใช้ท่อน เหล็กตีทั้งสองจนเสียชีวิต แล้วนำศพไปใส่ไว้ในรถเบนซ์ของผู้ตาย ก่อนจะจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ... ต่อมาพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้จับกุม พล.ต.ท.โสภณ เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับเรื่องดังกล่าว เพราะ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของมือปราบเจ้าของฉายาเสือใต้ผู้นี้ แต่เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า พล.ต.ท.โสภณ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ศาลจึงสั่งยกฟ้อง ... ขณะที่ พล.ต.ท.ชลอ ดิ้นไม่หลุด เพราะมีพยานหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะรายงานการใช้โทรศัพท์ของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่มีการติดต่อ พล.ต.ท.ชลอ ขณะเกิดเหตุหลายครั้ง รวมทั้งคำสารภาพของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่ให้การซัดทอด ว่า พล.ต.ท.ชลอ เป็นผู้สั่งการ
หลังจากนั้น พล.ต.ท.ชลอ ถูกจับกุมดำเนินคดี ปิดฉากชีวิตนายตำรวจมือปราบเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ โดยศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลได้พิพากษาไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2549 โดยเปลี่ยน คำพิพากษาเป็นประหารชีวิต ขณะนี้ พล.ต.ท.ชลออยู่ระหว่างการยื่นฎีกา และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรม

อนึ่งความพยายามในการรื้อฟื้นคดีเพชรซาอุขึ้นมาอีกครั้งนี้ทำให้เกิดการพบปะกันระหว่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่ง รมว ยุติธรรม กับ พล ต ท ชลอ เกิดเทศ ในคุกคลองเปรม..ความเอาใจใส่อย่างจริงจังที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ถึงกับทำให้ พล ต ท ชลอถึงขั้นน้ำตาคลอหลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ'' ตามข่าวด้านล่างนี้:-

สมพงษ์' บุกคุกคลองเปรมพบ 'ป๋าชลอ' ขอข้อมูลคดีซาอุฯ ขอปิดข้อมูลเป็นความลับหวั่นผู้เกี่ยวข้องทำลายหลักฐาน พล.ต.ท.ชลอ ตื้นตันน้ำตาคลอรมว.มาขอบคุณ เผยยอมทำเพื่อชาติ ให้ข้อมูลหมดเปลือกเพราะเชื่อใจรมว.ยุติธรรม ไม่หวังได้ลดโทษเมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 3 เมษายน ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและสำนักคดีระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีการหายตัวของนายอัลลู ไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย เข้าพบพล.ต.อ.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำ กรมตำรวจ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุฯ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอ จำเลยในคดีฆ่า 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ และคดียักยอกของกลางคดีเพชรซาอุฯ ออกจากแดน 4 ซึ่งเป็นแดนควบคุมตัวนักโทษสูงอายุออกมายังห้องผู้อำนวยการส่วนควบคุม เพื่อพูดคุยกับคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอออกมาจากแดนควมคุมเพื่อ มารอพบนายสมพงษ์ยังห้องผอ.ส่วนคุมคุมผู้ต้องขัง โดยพล.ต.ท.ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้า พร้อมใส่หมวกแก๊ปสีขาว โดยมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ เมื่อนายสมพงษ์เดินเข้าไปพบได้ยกมือไหว้พร้อมกับทักทายกันอย่างสนิทสนม ระหว่างนั้นแววตาของพล.ต.ท.ชลอ เป็นสีแดงมีน้ำตาคลอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวแยกไปในห้องต่างหากเพื่อสอบสวนและพูดคุยเป็นการส่วนตัวภายหลังการพูดคุยกับพล.ต.ท.ชลอ ประมาณ 20 นาที นายสมพงษ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้ร่วมเป็นพนักงานสอบสวนคดีในความรับผิดชอบของดีเอสไอ แต่ต้องการเข้าพบพล.ต.ท.ชลอเพื่อขอบคุณในน้ำใจ ที่ช่วยให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีเกี่ยวกับประเทศซาอุฯหลายคดี นอกจากนี้ ตนและพล.ต.ท.ชลอสนิทสนมกันดีเพราะพล.ต.อ.สวัสดิ์ พี่ชายของตนเป็นรุ่นพี่ของพล.ต.ท.ชลอ จึงเคยพบปะกันมาตลอด ทั้งนี้การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯมีมาหลายรัฐบาล ตนจึงอยากทำให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาคดีซาอุฯที่ยืด เยื้อมากว่า 18 ปี คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะในการหาหลักฐานใหม่เพิ่มเติม เพื่อส่งให้อัยการพิจารณาสำนวน จากนั้นจะเจรจาให้ซาอุฯเห็นถึงความจริงใจของเรา และจะดูจิตใจของเขาว่า จะฟื้นความสัมพันธ์ด้านการค้ากับเราอย่างไร “รายละเอียดที่เป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งได้รับจากพล.ต.ท.ชลอถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี ผมยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องอาจเข้าไปทำลายหลักฐาน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการดำเนินคดี”นายสมพงษ์กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ระดับใด นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของคดี จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ได้ระดับใด เร็วๆนี้ตนจะนัดหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯ และจะรับประทานข้าวหมกไก่ร่วมกันก่อนหน้านี้เคยหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯมาแล้ว ทางซาอุฯระบุชัดหรือไม่ว่าต้องการให้ฝ่ายไทยดำเนินการอย่างไร นายสมพงษ์ กล่าวว่า ซาอุฯไม่เคยบอกว่าเราต้องทำอะไร เพียงแต่สอบถามถึงความคืบหน้าในแต่ละคดีตนก็เข้าใจดีเพราะนักธุรกิจที่หายไป มีภรรยาเป็นพระญาติของกษัตริย์ซาอุฯ ทำให้กษัตริย์ซาอุฯเองก็ถูกทวงถามถึงความคืบหน้าของคดีอยู่เช่นกัน ซึ่งประเด็นการหายตัวไปของคนในครอบครัวมีประเด็นทางศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นการทำคดีของฝ่ายไทยจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องแจ้งรายละเอียดให้เข้ารับรู้พล.ต.ท.ชลอ ให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมเป็นพยานให้ข้อมูลเพื่อคลี่คลาย 2 คดี เนื่องจากมความมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ และผูกพันมานานกับครอบครัวของนายสมพงษ์ ซึ่งเป็นน้องชายของพล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ยืนยันไม่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือข้อเรียกร้องในการลดโทษ เพียงแต่ต้องการช่วยชาติให้ 2 คดีได้ข้อยุติ และหลักฐานก็คาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานใหม่พล.ต.ท.ชลอ กล่าวถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำว่า วันนี้เป็นครั้งแรกหลังจากติดคุกมา 14 ปี ทำให้ตนรู้สึกเหมือนบรรยากาศเก่าๆ สำหรับตนใช้ชีวิตเหมือนนักโทษรายอื่น ไม่ได้อยู่ห้องแอร์ มีแต่แอร์กี่ และไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ดวงจันทร์หน้าตาเป็นอย่างไรยังนึกภาพไม่ได้ เพราะต้องเข้าเรือนนอนตั้งแต่บ่าย ออกมาอีกครั้งก็เช้าแล้ว ตอนนี้ย้ายมาอยู่แดนชราเพราะอายุมาก ได้รับผ่อนผันให้ไม่ต้องทำงาน แต่มีโรคประจำตัวเรื่องข้อเข่าเสื่อม โรคหัวใจ และความดันสูง สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำสบายดีตามอัตภาพ อยู่ร่วมเรือนนอนกับลูกน้องอดีตตำรวจที่ต้องโทษคุมขังอีก 2 คน หากมีโอกาสออกจากคุก จะไปทำไร่ยางพาราที่อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งตนซื้อที่ดินไว้กว่า 500 ไร่ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชการ ตำรวจ หรือการเมืองอีก ยืนยันว่าตนไม่มีอภิสิทธิ์ในเรือนจำ สำหรับนักโทษซึ่งเคยตนถูกจับกุมตัวดำเนินคดีและถูกคุมขังในเรือนจำ ก็ได้อโหสิกันไปแล้ว“สำหรับคุ้มพระลอที่จ.ตาก ไม่เกี่ยวข้องกับวงการตำรวจ ตนได้โอนให้ลูกไปแล้ว โดยลูกของตนไม่อยู่ในวงการตำรวจหรือราชการ เป็นผู้รับเหมา ไม่มีอิทธิพลใดๆอีกแล้ว ที่ผ่านมามีข่าวว่า คนเห็นผมออกไปนั่งไนบาร์ ภรรยานั่งรถแท็กซี่มาด่าถึงในเรือนจำ นึกว่าหนีไปเที่ยว ”พล.ต.ท.ชลอกล่าว พล.ต.ท.ชลอ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรายละเอียดในคดีความนั้น ได้ให้ข้อมูลกับดีเอสไอไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาตนไม่แน่ใจในความจริงใจของรัฐบาล จึงไม่กล้าให้ข้อมูล ที่ผ่านมาไม่ใรให้เข้ามาถามพบ แต่เคยมีตำรวจเข้ามาถาม แต่ถามแล้วก็ไม่มีผลอะไร แต่ตนคิดว่ารัฐบาลนี้นายสมพงษ์มีความจริงใจและกระตือรือร้นมาก และเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมคนแรกที่เข้ามาเยี่ยมถึงในคุก ส่วนเรื่องความปลอดภัยในเรือนจำนั้น คงไม่มีอะไรต้องห่วง ตอนนี้ตนก็เหมือนคนตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ให้การดูแลเป็นอย่างดีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีฆ่านักการทูตซาอุ 4 ราย และคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2533 โดยดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษสมัยที่นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จากนั้นมีความพยายามจะรื้อฟื้นคดีอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งคดีฆ่านักการทูตศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯซึ่งเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย นั้น อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ทำให้การรื้อฟื้นคดีจะทำได้ต่อเมื่อมีหลักฐานใหม่
(หนังสือพิมพ์ มติชน 2008)

และจากบทความที่กล่าวถึงเกรียงไกร เตชะโม่ง ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกวันที่ 26 กันยายน 2551 (สยามมีเดีย 2008) ทำให้เราได้ค้นพบว่าความคืบหน้าล่าสุด "ชีวิตหลังพ้นโทษ" ของเกรียงไกร ก็ไม่แตกต่างจากอดีตนักโทษคนอื่นๆ เลย .. เขาไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคม และขาดความมั่นใจในการเผชิญชีวิตนอกห้องขัง หลังพ้นโทษไม่นานเกรียงไกรเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่น อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง กับภรรยา ส่วนลูกชายเข้ามาขายแรงงานใน กทม.นานๆ จึงกลับไปเยี่ยมสักครั้ง สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและปฏิเสธที่จะรื้อฟื้นความทรงจำหนหลัง

"ณรงค์ อินต๊ะพันธ์" นายก อบต.แม่ปะ ซึ่งคุ้นเคยกับเกรียงไกรดีบอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่าแม้จะพ้นโทษมานานแล้ว แต่เกรียงไกรยังคงเก็บตัวอยู่เฉพาะภายในบ้านพัก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ทุกครั้งที่หมู่บ้านมีงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทุกวันนี้เกรียงไกรมีรถกระบะเก่าๆ อยู่ 1 คัน วิ่งรับจ้างขนทรายไปส่งตามสถานที่ก่อสร้าง นอกจากทำนาในที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ประมาณ 10 ไร่ ฐานะพอกินพอใช้ หาเช้ากินค่ำ ไม่แตกต่างจากชาวบ้านแม่ปะหลวงรายอื่นๆ "เขาไม่สนทนากับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับนักข่าวหากพบหน้าจะเดินหนีทันที เคยถามเขาเหมือนกันว่าหนีหน้าคนอื่นทำไม เขาบอกว่าไม่อยากคุยด้วยเพราะนักข่าวชอบถามแต่เรื่องเดิมๆ ที่ตัวเขาอยากลืม"

Reference:
หนังสือพิมพ์มติชน 2008,'ป๋าลอ' น้ำตาคลอ หลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ', accessed 1/11/2008, from

สำนักข่าวไทย 2008, นพดล เตรียมฟื้นคดีเพชรซาอุฯ หวังยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต, accessed 1/11/2008, from

เสรีไทย 2008, เพขรซาอุฯ เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง , accessed 1/11/2008, from

สยามมีเดีย 2008, ที่นี่ตำรวจไทย: ตอน เพชรซาอุ, accessed 1/11/2008, from
http://www.siammedia.org/news/thailand/20080926_04.php
อาทรผไท, อ 2008, โจรกรรมเพชรซาอุ , accessed 1/11/2008, from
http://www.angkul007.com/Blog/?p=27

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ไม่มีความคิดที่แตกต่าง..คอลัมน์ ชกไม่มีมุม..โดย "วงค์ ตาวัน"

ที่มา:
ตาวัน, ว. 2551, 'คอลัมน์ชกไม่มีมุม: ไม่มีความคิดที่แตกต่าง', ข่าวสด, 29 ตุลาคม 2551,
หน้า 2, accessed 29/10/2551, from
------------------------------------------------------------------
คงต้องช่วยกันรณรงค์ข้อเรียกร้อง "ยุติความรุนแรง แสวงสันติด้วยการสานเสวนา" ซึ่ง 170 องค์กร ได้ร่วมกันลงนามในประกาศปฏิญญาฉบับนี้ เพื่อเป็นทางออกของประเทศชาติในห้วงวิกฤตเช่นนี้ ไม่ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิตไม่เป็นเหยื่อนักเล่นเกมชิงอำนาจอีกต่อไปโดยแนวทางที่กำลังเร่งดำเนินการคือ ประสานงาน 4 ฝ่ายให้มาร่วมการเสวนาเพื่อสันติธรรม ทั้งนปช. ฝ่ายค้าน กลุ่มพันธมิตร และรัฐบาลขณะเดียวกัน ข้อเรียกร้องของเครือข่ายสันติประชาธรรม และสนนท.ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนที่แท้จริงของนิสิตนักศึกษาที่ให้ 1.หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน 2.หยุดให้ท้ายพันธมิตร 3.หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและรัฐประหารหรือข้อเรียกร้อง 3 หยุด ที่พลังเป็นกลางในสังคมต้องช่วยกันสนับสนุนแนวทางนี้ ต้องเดินหน้าต่อไป!แม้ผู้นำพันธมิตร จะมีอาการต่อต้านอย่างหัวชนฝา เป็นเหมือนคำอธิบายเนื้อแท้แห่งขบวนการได้อย่างกระจะกระจ่างแม้หัวหน้าของพันธมิตรจะด่าว่า ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ด้วยสไตล์ข่มขู่อันถนัดถนี่!!แม้อดีตเอ็นจีโอที่ยากจะหวนกลับแล้ว จะต่อต้านแนวทางสันติของอาจารย์โคทม อารียา พร้อมติดเชื้อวิธีการสาดโคลนอย่างไร้ความเป็นธรรมแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่หนักแน่นอย่างดร.สุเมธและดร.โคทม ย่อมไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย!ผู้คนทั่วทั้งสังคมต้องช่วยกันผลักดันแนวทางนี้ล่าสุดพันธมิตรกำลังจะดาวกระจายอีกแล้ว อีก 2 วันฝ่ายนปช.จะชุมนุมใหญ่ โดยประกาศว่าจะมาเกินแสนสังคมต้องช่วยกันเรียกร้อง ทั้งดาวกระจายของพันธมิตรและการรวมพลคนเสื้อแดง ว่าอย่านำไปสู่การปะทะกันรุนแรงอีก และอย่าทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนโดยเฉพาะนปช.นั้น การระดมพลครั้งนี้ หากต้องการประกาศให้พันธมิตรรู้ว่า แนวทางเสื้อแดงนั้น มีผู้คนสนับสนุนมากมายเพียงใด รวมทั้งต้องการเตือนใครที่คิดจะบีบทหารให้ปฏิวัติ ต้องตระหนักถึงพลังต่อต้าน ว่าการรัฐประ หารคราวหน้าผู้คนจะออกมาขวางรถถังก็ขอให้สำแดงพลังอยู่ในขอบเขตสถานที่ แล้วสลายตัวไปอย่างสงบ ถ้าทำเช่นนี้ได้ จะเหนือกว่าอีกฝ่ายชัดเจนแต่ทั้ง 2 ขั้ว ต้องมองให้ออกว่า ทุกครั้งเมื่อขบวนการประชา ชนออกมาต่อต้านอำนาจรัฐ ผู้คนที่เห็นด้วยจะออกมาสนับสนุน อย่างมืดฟ้ามัวดิน แล้วรัฐบาลจะพังพ่ายในพริบตาสถานการณ์ทำนองนี้ จะมีเพียงฝ่ายประชาชนกับฝ่ายอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรมแต่สถานการณ์ในวันนี้ ทำไมจึงเกิดฝ่ายเป็น กลาง แถมเป็นพลังของคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทำไมจึงเกิดพลังที่ไม่ยอมรับทั้งสองฝ่ายถ้าใครเห็นต่างแล้วกลายเป็นศัตรูก็จะไม่มีวันรู้จักตัวเอง!?
------------------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สัมภาษณ์พิเศษ ‘พันศักดิ์ วิญญรัตน์’ : คุณทักษิณไปแล้ว What do you do next?

ลองอ่านบทสัมภาษณ์ด้านล่างนี้ดูนะ สำคัญมากๆ ถ้าจะฟังอะไรแบบนี้ต้องไปเสียเงินฟัง เสียค่าโต๊ะดินเนอร์เป็นหมื่นๆบาทเพื่อเข้าฟังทั้งนั้น ... ผมว่า อ.พันศักดิ์ ความคิดความสามารถแกอยู่ระดับปราชญ์ของระบบทุนนิยมแห่งสยามหลังสมัยใหม่จริงๆ ..ในประเทศนี้เห็นจะมีอยุ่ไม่ถึงสองคน(ในความคิดผมนะ) .. ความคิดความอ่านแกสุดยอด !
คนนี้เป็นมันสมองแท้ๆที่สร้างปรัชญาการคิดการบริหารงานของทักษิณ ที่บางคนเรียกว่า ระบอบทักษิณ (คนแรกที่คิดคำนี้ขึ้นมาคือ อ เกษียร เตชะพีระ) หรือ ทักษิโนมิกส์ (ที่นักเศรษฐศาสตร์ในบ้านเราชอบเรียกกัน)
นโยบายของทักษิณที่สำคัญหลายตัวมาจาก พันศักดิ์ คนนี้แหล่ะ ... ไม่แปลกใจเลย นี่คือปรัชญาการดำเนินงานทางทุนนิยมของกลุ่มเขา ที่ถ้าอดีตนายกทักษิณคนนี้ยังได้อยู่บริหารประเทศในตอนนี้ เราอาจจะเห็นผลสำเร็จ (หรือล้มเหลว) ของ roadmap ชุดนี้ ที่จะสามารถ (หรือไม่สามารถ) ต่อสู้ต้านทานต่อวิกฤตทางเศรษฐกิจของโลกในตอนนี้กันบ้างแล้วหล่ะ

ปล : พอดีว่าผมกำลังศึกษาค้นคว้าเรื่องจีนใหม่กับระบบทุนนิยมอยู่พอดี (ศึกษาแนวคิดจากศาสตราจารย์ทางเศรษฐกิจชาวจีนแผ่นดินใหญ่ในระบบสังคมนิยมปรับตัวหลังยุคเติ้งเสี่ยวผิง ว่าเหตุใดชาวจีนทั้งหมดถึงพร้อมใจกันลุกขึ้นพัฒนาทางเศรษฐกิจภายใต้แนวทางการปฎิรูปเปิดประเทศอย่างกระตือรือร้นขนานใหญ่ ซึ่งร้อนแรงดุดันยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงการปฎิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมในแนวทางเหมาเจ๋อตุง) .. เหตุนี้ทำให้ผมชอบบทสัมภาษณ์นี้มากๆ เป็นมุมมองระดับมหภาค ถึงเเม้ว่าจะเต็มไปด้วยศัพท์แสงทางเทคนิคหลายแขนงวิชา และ หนักไปทางทุนนิยม ก็เถอะ .. สำหรับคนที่ไม่ถนัด ก็ต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆทำความเข้าใจดูก็แล้วกันนะ
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์จะถูกใจหรือไม่ถูกใจใครบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย.. แต่นี่ก็เป็นแนวคิดที่ชัดเจน ท้าทายและมีแง่มุมที่สร้างสรรค์กว่าการเทศน์และอยู่กันแบบศีลธรรมจอมปลอม ที่จับกลุ่มชอบพูดถึงกันแต่ "พอเพียง" .. แต่ชนชั้นบนโดยเฉพาะพวก "อภิสิทธ์ชน" พวกนี้แหละ ที่ (แม่_) รวย (ฉิบ_ย) .. มีเครื่องบินส่วนตัว(ฟรี)ขับเล่น มีเงินเดือนให้กินจากนับสิบนับร้อยบริษัทโดยไม่ต้องไปทำงาน บ้างก็ได้เงินอุดหนุนรายปี และ แบบเฉพาะกิจตามแต่อยากได้ ไม่ต้องเสียภาษี ขับเฟอร์รารี่ ขับเบนซ์ ร่อนไปมา อยุ่เหนืออำนาจทั้งปวง.. เรียกร้องคนอื่นแบบหนึ่ง ปฏิบัติกับตัวเองและครอบครัวอีกแบบหนึ่ง .. "ตอ-แหล-แลนด์" จริงๆ แบบนี้ จริงมั้ย พี่น้อง :)

----------------------------------------------------

*** เริ่มบทสัมภาษณ์ ***

ชื่อพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ถูกเอ่ยถึงบ่อยครั้งบนหน้าสื่อในสมัยของรัฐบาลไทยรักไทย และได้รับการยอมรับว่าเป็นกุนซือ ‘คิดใหม่ ทำใหม่’ คนสำคัญของรัฐบาลคิดเร็วทำเร็ว และจากไปเร็วกว่าที่เคยได้รับการคาดหมาย

แต่ความช่างคิดใหม่ทำใหม่ของเขานั้น อาจจะเป็นทำนอง ‘เข้าแก๊งไหนหัวหน้าถูกรัฐประหารหมด’ เช่นกัน จากรัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เขาเป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ครั้งนั้น ผลงานที่โดดเด่นของรัฐบาลชาติชาย คงไม่พ้นเรื่องการเปลี่ยนสนามรบให้เป็นสนามการค้า รัฐบาลชาติชายถูกรัฐประหารไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 เขาหายไปจากแวดวงพักใหญ่ และกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้งในตำแหน่งประธานที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ถูกจดจำไปตราบนานในฐานะเจ้าพ่อประชานิยม และแปลงสินทรัพย์เป็นทุน ก่อนที่ทักษิณจะถูกโค่นอำนาจโดยการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549

และถ้าหากจะย้อนไปไกลก่อนที่พันศักดิ์จะโจนเข้าสู่แวดวงการเมือง พันศักดิ์นั้นเคยทำงานสื่อมวลชนอยู่นาน ในฐานะบรรณาธิการนิตยสารวิเคราะหฺการเมือง ‘จัตุรัส’ ช่วงทศวรรษ 1970 และเคยทำงานอยู่ในชายคาสื่อใหญ่อันดับต้นๆ ของเอเชียอย่างเครือผู้จัดการ

การเมืองที่ผันผวนทำให้เขาต้องหลบออกนอกประเทศหลายครั้ง และการรัฐประหารครั้งล่าสุด ผลักดันให้เขาไปเดินเล่นเป็นช่างภาพข้างถนนในกรุงลอนดอนเสียหลายเดือน

ชื่อของพันศักดิ์ วิญญรัตน์ กลับมาเป็นประเด็นบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อคืนวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา โดย สนธิ ลิ้มทองกุล ปราศรัยว่า พันศักดิ์ วิญญรัตน์ ลูกน้องเก่าของเขากำลังจะทำหน้าที่เป็นเป็นแม่งานสร้างภาพทักษิณ ชินวัตร ในเวทีสื่อต่างประเทศ โดยมุ่งสร้างภาพทักษิณให้กลายเป็นวีรบุรุษของเอเชีย

ประชาไท สัมภาษณ์พันศักดิ์ วิญญรัตน์ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 2 ม็อบปะทะกัน ทำให้เราตัดสินใจชะลอบทความนี้ไว้เนื่องจากจังหวะการเมืองไทยในช่วงเวลานั้น ดูเหมือนจะพุ่งประเด็นกลับไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองอย่างสุดต้านทานอีกครั้ง แม้ว่าประเด็นแห่งการพูดคุยจะเป็นประเด็นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมแห่งความขัดแย้ง และอันที่จริงเป็นประเด็นที่สังคมไทยยังไม่ได้ตอบมันอย่างจริงๆ จังๆ อีกเลยหลังจากแนวนโยบายทางเศรษฐกิจที่ถูกเรียกว่า ‘ระบอบทักษิณ’ ถูกรื้อโค่น และวิพากษ์อย่างเผ็ดมัน ในห้วงขณะที่ผู้นำของนโยบายต้องเดินทางอย่างยาวนานอยู่ภายนอกประเทศ จนกระทั่งเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดนอยู่ขณะนี้

สังคมไทยจะเอาอย่างไรต่อ จะอยู่อย่างไรกับโลกาภิวัตน์ หากที่ผ่านมา กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ปฏิเสธนโยบายของระบอบทักษิณได้ทำงานมาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 3 ปี แต่เสียงของ ‘ระบอบทักษิณ’ ต่อเรื่องนี้กลับเงียบหายไป เราจึงนัดพูดคุยกับพันศักดิ์ ในเช้าวันหนึ่ง ย่านสุขุมวิท

“ในสมัยของทักษิณการเติบโตทางเศรษฐกิจดี ประชาชนเอาด้วย แต่ฐานอำนาจเก่าไม่เอา ซึ่งเกิดจากความกลัวว่าอนาคตคืออะไร ไม่ใช่เท่านั้นนะ ผมว่าคุณทักษิณก็กลัวว่าอนาคตคืออะไร ไม่ใช่แต่คุณทักษิณ ยังรวมทั้งสังคมไทยและรวมทั้งผมด้วย ต่อให้ไม่มีรัฐประหาร ไม่ใช่ว่าผมห่วงอนาคตของตัวผม เพราะผมอายุ 60 แล้ว ที่ผมทำ TCDC เพื่อเป็นสัญลักษณ์ มันจะแตกตัวเป็นมากกว่าสัญลักษณ์เพื่อหิ้วรุ่นลูกผมให้มีงานทำ จากสมัยทักษิณไปสู่อนาคต ผมถามว่าเราจะจัดการตัวเองได้ทันไหม คุณทักษิณเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่า คนซึ่งเกลียดคุณทักษิณก็ไม่แน่ใจ ผมเองก็ไม่แน่ใจ”

------------------------------------------------------

1 เปิดเรื่องไทยในโลกาภิวัตน์ :

พันศักดิ์เปิดเรื่องและเล่าเรื่อง ด้วยภาพถ่ายภาพจากฝีมือของเขา เป็นภาพของคนกลุ่มหนึ่งสนทนากันอยู่ด้านหน้าโรงแรมหรูใจกลางกรุงลอนดอน ชายในกลุ่มนั้นโพกผ้า.....

โรงแรม Oriental Hotel Group แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ย่าน Knightsbridge เป็นโรงแรมระดับนำในกรุงลอนดอนซึ่งเคยมีคนอังกฤษเป็นเจ้าของ แต่ในปัจจุบันถูกซื้อกิจการโดยทุนจากฮ่องกง ผลของ globalization and socialization (โลกาภิวัตน์และกระบวนการทางสังคม) ซึ่งใช้เวลาร่วม 100 ปี จึงเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น เพราะฉะนั้นคนซิกห์ ชอบหรือไม่ชอบก็ตามได้ดื่มด่ำวิธีคิดและอากัปกิริยาและความกระแดะของสังคมอังกฤษเข้าไปสู่ส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของตัวเองโดยไม่ทิ้งแกนกลางของจิตวิญญาณเดิมของตัวเอง

อาการของ globalization and socialization ในตัวของมันเองมีทั้งอาการเจ็บปวดและอาการดื่มด่ำ และอาการที่จะต้องโต้ตอบกับสังคมใหม่ซึ่งผลักดันโดยวิธีคิดการบริหารเศรษฐกิจใหม่ของโลกไปด้วยกัน ใครจะไปคิดว่าทุนฮ่องกงเมื่อสักประมาณ 80 ปีก่อนหน้านี้จะสามารถซื้อกิจการ Hyde Park Hotel ของอังกฤษได้
ธุรกิจในฮ่องกงก็เป็นของเก่าแก่ของชาวสหราชอาณาจักร ซึ่งมักจะเป็นของคนสก็อตที่อยู่ในฮ่องกงเมื่อ เกือบ 30 ปีที่แล้ว ต่อมาหนังสือฟาร์อีสเทิร์นอีโคโนมิกส์รีวิวเริ่มลงเรื่องเศรษฐีฮ่องกงเป็นครั้งแรกว่า มีเศรษฐีจีนฮ่องกงแอบอยู่ และก็ค่อยๆ เทคโอเวอร์กิจการของเศรษฐีสก็อต บริษัท เช่น ฮัทชินสัน และก็มาเป็นฮัทชินสันแอนด์วังเป่า

เราไปเที่ยงฮ่องกง ก็อาจจะไปเที่ยวร้านขายกล้อง ใครจะไปคิดว่า เจ้าของร้านขายกล้อง Hasselblad ที่ฮ่องกงจะกลายเป็นเจ้าของบริษัทผลิตกล้องที่ดีที่สุดในโลกที่สวีเดน คนขายกล้อง Hasselblad ไปเทกโอเวอร์กิจการของ Hasselblad เพราะคนขายกล้องของฮ่องกงมันขายกล้องได้มาก เพราะเป็นเมืองท่าปลอดภาษี

“อาการ socialization and globalization ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 เป็นการอาการสองทาง เป็นการกระทำสองทาง ไม่ใช่อาการทางเดียวของโลกตะวันตกสู่โลกตะวันออกเพียงเท่านั้น และมันเป็นมานานแล้ว ญี่ปุ่นอาจเป็นสังคมแรกที่เข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ มีอาการของการเดินทางสองทางของทุน เช่นในยุคทศวรรษที่ 1980 ที่เราเริ่มรู้จักการเดินขบวนของนักเรียนนักศึกษา บริษัทญี่ปุ่นเริ่มสะสมภาพของปิกัสโซ โมเนต์ อะไรต่ออะไร ซื้อกันเป็นร้อยๆ อัน แอบเอาไว้ในห้องนิรภัยในสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่น จากนั้นก็ขยายจากการซื้อภาพปิกัสโซ่ โมเนต์ กลายเป็นซื้อที่ดินในอเมริกา ซื้อตึกร็อกกี้เฟลเลอร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสหรัฐ แล้วก็เจ๊งไป

อาการ socialization and globalization มันยังขยายไปส่วนอื่นๆ รวมถึงเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ที่แรกก็คือ คนเอเชียอาคเนย์ดั้งเดิม เริ่มเทคโอเวอร์สินทรัพย์ของคนที่มาจากประเทศเจ้าอาณานิคมชาวยุโรปเก่าในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เอง แล้วต่อมาในที่สุดก็ไปเทคโอเวอร์สินทรัพย์ของประเทศแม่เหล่านั้น อาการอันนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะคนตาตี่สัญชาติจีนเท่านั้น คนอินเดียก็ทำมานานแล้ว เช่น บริษัท ทาทา เป็นต้น

นี่คือบทบาทของผู้ประกอบการ โดยไม่เกี่ยวกับรัฐบาล?
ไม่เกี่ยวเลย

ในแง่ globalization รัฐบาลไม่มีความจำเป็นหรือ?
รัฐบาลเพียงแต่ไม่ขวางกั้นอากัปกิริยาเหล่านี้ เช่น การเคลื่อนย้ายของทุนที่ออกจากประเทศไปสู่อีกประเทศหนึ่ง

มันเกิดขึ้นได้โดยมีปัจจัยอะไรสนับสนุน คุณกำลังจะบอกว่า มันเกิดเพราะมีความเจ็บปวดทางประวัติศาสตร์ ทำให้คนท้องถิ่นมีความทะเยอะทะยาน?
มีหลายอย่างปนกัน เช่น ความเคยชินกับสิ่งที่เขารู้ว่าอะไรคือสินทรัพย์ คนบางคนไม่รู้ว่าอะไรคือสินทรัพย์ คือผมจะบอกว่า แต่ก่อนโรงแรมโอเรียนเต็ลนั้นก็เป็นแค่บ้านหลังเดียว มีแค่ 11 ห้องนอน มันกลายเป็นสินทรัพย์ขึ้นมา เป็นสินทรัพย์ที่ตีค่าขึ้นมาได้เรื่อยๆ จนในที่สุดฮ่องกงก็ซื้อ แบรนด์โอเรียนเต็ลนี้เกิดที่ข้างแม่น้ำเจ้าพระยา มันมี mystic value (มูลค่าที่แฝงอยู่ภายใน) บวกกับการบริการที่มีคุณภาพ แบรนด์อะไรก็ตามที่เป็นแบรนด์ที่แบนๆ เฟอะๆ ก็เพราะมันไม่มี mystic value

การบริการอย่างมีคุณภาพ แต่ไม่มี mystic value ก็ราคาหนึ่ง ใครที่ดันเรียนเศรษฐศาสตร์มาให้เลิกซะ... competitiveness is bullshit, comparative advantage is a real shit (ความสามารถในการแข่งขันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เรื่องความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ เป็นเรื่องจริง) comparative advantage ในลักษณะนี้ก็คือสิ่งซึ่งอีกคนหนึ่ง (คู่แข่งของตน) ใช้กระบวนการบริหารจัดการ (management) เข้ามาจัดการไม่ได้ แต่ competitiveness (ความสามารถในการแข่งขัน) ใช้กระบวนการบริหารจัดการเข้ามาจัดการได้

ยกตัวอย่างเช่น mystic value ไม่สามารถใช้กระบวนการบริหารจัดการเข้ามาจัดการได้ แต่คุณสามารถจัดการให้ comparative advantage มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นหรือมีมูลค่าที่ยั่งยืนได้โดยกระบวนการบริหารจัดการ ฉะนั้นสังคมไทยในอนาคต ต้องตีให้แตกว่าอะไรคือ comparative advantage ซึ่งเป็น virtual asset value ของสังคมนี้ (มูลค่าของสินทรัพย์ที่อาจไม่ใช่มูลค่าที่เห็นได้จากการประเมินโดยตรง เช่น สินทรัพย์ทางความคิด) โดยที่อย่าโกหกตัวเองว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้คือ value

วิธีไม่โกหกตัวเองก็คือการให้คนอื่นเขามองตัวเรา ว่าอะไรคือคุณค่า คุณจะมีปรัชญาว่าตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็เป็นเรื่องความสุขส่วนตัวของคุณ แต่ในแง่ของการจัดการทางเศรษฐกิจ ทำอย่างไรที่จะให้โอกาสแก่คนยากจน เพราะในที่สุดคนจนก็เป็นผู้เสียภาษีให้รัฐ

ถ้าผมเป็นรัฐบาลก็ต้องคิดอย่างนี้ คิดให้ดีต้องคิดแบบมีเหตุมีผล (rational) เมื่อคิดอย่างมีเหตุมีผล มันจะช่วยประชาชนส่วนใหญ่ไปในตัว อย่าเอาคุณธรรมอันเป็นกระบวนการหลอกหลอนความโกหกของจิตวิญญาณของตัวเองมาบังความมีเหตุมีผล อย่าเป็นอันขาด! แก่ๆ กันแล้ว จงทำความดีเพราะว่า It’s a good idea ไม่ใช่ทำความดีเพราะว่า คุณอยากห่อหุ้ม (cover) อีโก้ของคุณด้วยผ้าขาว...

นโยบายที่เกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ของรัฐบาลนี้กับรัฐบาลทักษิณต่างกันไหม?
ไม่มีนโยบายรัฐบาลเรื่อง globalization มีแต่นโยบายของสังคม สังคมยินยอม สังคมเห็นด้วย สังคมยินยอมหรือสังคมเห็นด้วยแบบเบลอๆ ให้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกในมิติต่างๆ โดยที่ไม่มีความชัดเจน อันนี้เป็นสังคมสยามตั้งแต่ต้น สังคมสยามตั้งแต่ต้นเบลอมากนะ เบลออย่างไร โปรตุเกสโผล่มาเราก็ใช้ กรีซโผล่มาเราก็ใช้ เยอรมันโผล่มากูก็ใช้ ยกตัวอย่างเช่น รู้ไหมว่าที่ปรึกษาธนาคารสยามกัมมาจลน่ะมีกี่ชาติ มีทั้งเยอรมัน (landed bank) และในที่สุด ก่อนสงครามโลก City Bank เป็นที่ปรึกษาสยามกัมมาจล ถามว่า globalization สังคมไทยมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ โอ๊ย มันมีมาตั้งแต่ไม่รู้เมื่อไหร่ โปรตุกีสมันเซ่อนะ มันมองผ่านประเทศไทยไปเอาอาเจะห์ ซึ่งก็ไม่เลวนะ มีสมุนไพรจมเลย เมืองไทยเราตอนนั้นเรามีครั่งทางเหนือ

คือ ไม่มีนโยบาย globalization เพราะผมไม่คิดว่าชนชั้นนำของไทย ไม่ว่าเป็นยุคไหนก็ตาม จะมี dialectic strategy (การกำหนดยุทธศาสตร์จากความขัดแย้งระหว่างสิ่งเก่ากับสิ่งใหม่) เกิดด้วยพื้นที่ของสังคมไทยในโลกอย่างชัดเจน มีแต่เฮกันไปเรื่อยๆ

เป็นเพราะไม่รู้ หรือเป็นเพราะตั้งหลักไม่ถูก ไม่เข้าใจโลก
ผมว่าเขาเข้าใจเป็นส่วนๆ นะ ผมเข้าใจว่า เราส่งคนของเราไปเรียนหนังสือตั้งแต่รุ่นพ่อผม น้อยมากที่จะไปเรียนแบบที่พระองค์วรรณ (พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร) เรียน ที่เขาเรียกว่า Classical Greek ไม่ว่าจะเป็นปรัชญากรีก การเมืองกรีก ปรัชญาการเมืองกรีก หรือเศรษฐศาสตร์

เพราะฉะนั้นโลกาภิวัตน์สำหรับผมแล้วไม่มีอะไร ประเด็นมีเพียงแค่ว่าสังคมไทย ระดับของเศรษฐกิจไทยควรจะปล่อยให้สังคมสามารถใช้ post modern capitalism technique จนกระทั่งมากระทบ natural development ที่ผมพูดว่า natural development ในที่นี้ก็คือ analog experience learning ที่จะจัดการกับทุน

ตัวอย่าง sub-prime ในอเมริกาทำได้ เพราะใช้เงินคนอื่น คุณออก dept of instrument (ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร) ออกมา แล้วคนอื่นก็มาซื้อตราสารหนี้ของคุณ แล้วก็คนอื่นๆ ก็มาซื้อต่อๆ อย่างกับแม่ชม้อย จนกระทั่งวันหนึ่ง อ้าว ชิบหายแล้ว What is a real value ของบ้านหลังนี้ นี่แหละ market place อ้าว value มันไม่ใช่ 10 เท่าที่คุณขายกันไปขายกันมาอยู่นี่ ไอ้เทคนิคของการหาทุนไปทำอย่างอื่น หรือหากำไรจากตราสารหนี้ เนี่ย มันเป็นโครงสร้างเศรษฐกิจปกติ ซึ่งมี real production, real employment (การผลิตจริง การจ้างงานจริง) รับได้ไหม แต่ประเทศซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่นี้จะหาทางออกของตัวเองเรื่องของ comparative advantage ยังหาไม่ถูกเลย

สิ่งที่ผมกำลังสนใจตอนนี้ คือ เพราะเรากำลังมีอาการเปลี่ยนผ่านในสังคม หนังสือเล่มหนึ่งบอกว่า without democracy there is no real growth, democracy without growth ก็ฉิบหาย (ถ้าไม่มีประชาธิปไตย มันก็ไม่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง แต่ประชาธิปไตยโดยไม่มีความเติบโตทางเศรษฐกิจก็ฉิบหาย)

หนังสือเล่มนี้บอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องเมืองจีน ถ้าเศรษฐกิจโตแบบนี้ 9-10 เปอร์เซ็นต์ทุกปีๆ democracy comes naturally (ประชาธิปไตยก็จะตามมาเอง)
-------------------------------------------------

2 ความกลัวกับการเปลี่ยนแปลง:

แต่มันก็เถียงกันมานานแล้วนะ เรื่อง growth และ democracy อย่างกรณีสิงคโปร์ก็เป็นโมเดลที่ไม่ democracy เท่าไหร่
ไม่ใช่ คุณจะเห็นว่าสิงคโปร์ตอนนี้เริ่มติดขัด โปรดสังเกตวิธีที่สิงคโปร์ซื้อสินทรัพย์ ในประเทศไทย สิงคโปร์จะซื้ออะไรล่ะ โรงแรม ธนาคาร และก็สร้างคอนโดมีเนียมในสุขุมวิท ผมก็ขำนะที่บอกว่าทักษิณขายประเทศ ก็ต้องดูว่าใครขายก่อน

ทีนี้ ผมกำลังจะบอกว่าสิงคโปร์ซื้อ virtual asset สิงคโปร์ไม่ได้ซื้อเพชร ไม่ได้ซื้อทองที่ชั่งกันได้ เขาไม่ได้ซื้อ physical asset (สินทรัพย์ที่มีมูลค่าทางกายภาพอย่างเดียว) แต่เขาซื้อ virtual value ของสังคมไทย คือ service (การบริการ) ซื้อ psyche (จิตวิญญาณ) ของชีวิตมนุษย์สยาม แต่เราไม่เก็ตกัน

หมายความว่าอะไร หมายความว่าสิงคโปร์สร้าง creative service industry ของตัวเองไม่ได้ โดยความจำกัดของจำนวนประชากร และลักษณะการบริหารสังคมสิงคโปร์ไม่สามารถมี creative industry ของตัวเองได้ สิงคโปร์จึงพยายามที่จะสร้างการบริหารจัดการ creative industry (ที่อยู่นอกประเทศ)

ที่ผ่านมานั้น สิงคโปร์มีแต่สิ่งที่เรียกว่าความสามารถในการบริหารจัดการ

ปัจจัยที่ทำไม่ได้เพราะประชากรน้อยอย่างเดียวหรือ มันเกี่ยวกับการไม่มีคุณค่าทางประชาธิปไตย (democratic value) ด้วยหรือเปล่า?
สิงคโปร์มีคุณค่าทางประชาธิปไตย (ซึ่งแคบ) ของตัวเอง แต่คุณจะสังเกตไหมว่า มันไปต่อไม่ได้ไกล คือทั้งสองอย่างทั้งคือประชากรน้อย และไม่มี creative industry (อุตสาหกรรมที่เน้นความสร้างสรรค์)เป็นของตนเอง

เมืองจีน ตอนนี้กำลังตื่นตัวเรื่อง creative industry (อุตสาหกรรมที่เน้นความสร้างสรรค์) ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ เปลี่ยนจากการแค่ประกอบหรือเลียนแบบ จีนลงทุนในเรื่องนี้มาก แล้วผู้นำจีนพูดว่ายังไงรู้ไหม “ในที่สุด ประชาธิปไตยก็จะมา”

ถามว่าเมืองจีนมีประชาธิปไตยไหม มี แต่มีแบบเพี้ยนๆ ที่เราไม่ได้เข้าใจกันมาก่อนหน้านี้ เช่น กระจายอำนาจ (diversify) จากส่วนกลางให้กับจังหวัดมหาศาลเลย ไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งมีปัญหาเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ จังหวัดไหนอยากรวยก็ต้องมีแผนเศรษฐกิจที่จะสร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า สร้างการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มันไม่มีองค์กรที่เข้ามาจัดการที่แท้จริง เพราะมีอำนาจของ structural economic right (มีสิทธิพัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นภายใต้โครงสร้างใหญ่) ปัญหาของเมืองจีนอยู่ตรงนี้แล้ว ผู้นำจีนก็รู้และเข้าใจ ซึ่งผมชอบมาก เขาเก่งที่รู้และเข้าใจ และเขาพยายาม คือเขาบอกว่า เขาอยากให้มีความสร้างสรรค์ภายใต้ลักษณะความเป็นสังคมนิยมแบบจีน นี่เป็นเรื่องที่มาร์กซิสม์ในยุโรปเถียงกันมานาน ว่า อะไรคือ creativity ถ้าไม่ใช่ bourgeoisie creativity (ความสร้างสรรค์แบบชนชั้นนายทุน) แล้วมันคืออะไร เถียงกันตั้งแต่รุ่นพ่อผมจนผมอายุ 66 แล้วนะ

จีนกำลังท้าทายตัวเอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังท้าทายตัวเองว่า เป็นไปได้ไหมที่จะสร้างสรรค์สินค้าและบริการ ซึ่ง Uniquely Chinese แต่ข้างล่างเขียนว่า socialism ได้หรือไม่ context ของมันคือโลกตะวันตก (สร้างสรรค์สินค้าที่มีความเป็นจีนอย่างเด่นชัดเฉพาะตัว แต่เขียนกำกับไว้ว่า สังคมนิยม), design ซึ่งเป็นพวก consumer design product มักมาจากกระบวนการ semiconscious of conscious analysis of class contradiction จึงมีการ design ออกมาแล้วดูแล้วมันส์ ยกตัวอย่างเช่น miniskirt ไม่ใช่ design แต่เป็น statement of protest

โลกตะวันตกคิดเรื่อง creativity มานานตั้งแต่สมัยกรีก จนมันอิ่มตัวแล้ว โลกตะวันตกทุกวันนี้คิดอะไรไม่ออก เพราะความขัดแย้งทางชนชั้นน้อยลง มันมีอาการแบนราบ (flat) ลูกจ้างรายวันไม่มีแล้ว มีแต่ พนักงานกินเงินเดือนบริษัท เมื่อมันแบนราบแล้ว ความขัดแย้งทางชนชั้นก็น้อย เมื่อความขัดแย้งทางชนชั้นน้อยลง ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาของยุโรปนั้นเป็นประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาที่เกิดจากความขัดแย้ง แล้วยังไง คุณก็หมดวิตามิน แล้วไปพูดเรื่องอะไร environment, love the whale. สิบปีที่ผ่านมามีหนังสืออะไรใหม่ๆ ออกมาจากยุโรปไหม ไม่มีอะไรใหม่เลย

เมื่อเมืองไทยไม่มีภาพที่ชัดเจนว่าจะวางตัวเองไว้ตรงไหนใน globalization แต่ทำไมนโยบายของชุดรัฐบาลทักษิณจึงเกิดแรงต้าน
มันคนละเรื่อง เขาไม่ได้ต้านเรื่องโลกาภิวัตน์ ที่เขาต้านน่ะ คืออาการที่เกิดขึ้นของช่วงเปลี่ยนผ่านของสังคมมนุษย์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ มนุษย์จะมีปฏิกริยาต่อการเปลี่ยนผ่านนั้น ที่ผมสังเกตดูอย่างในกรณีของเนปาลซึ่งตอนนี้พรรคคอมมิวนิสต์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ถ้าไม่สามารถมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้เห็นเป็นรูปธรรมเหมือนในประเทศอื่นๆ ในสังคมมนุษย์ในโลกมนุษย์ ก็จะมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ

สำหรับคนซึ่งโหยหาสิ่งซึ่งเป็นยูโทเปีย ซึ่งไม่มีจริง หาไม่ได้ เพราะถ้าจะมีจริง ต้องทำงานหนักและอาจจะเลวก่อนดี กับอีกประเภทหนึ่ง ที่ชีวิตเคยโอเคมาแล้ว คนที่ร่ำรวยแล้วมักจะกลัวความล้มเหลว คือสิ่งที่ตัวเองเคยมีจะหายไปหรือเปล่าไม่รู้ สำหรับคนจน หรือคนที่ไม่รวยมากนัก พวกเขากลัวความล้มเหลวน้อยกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่มากกว่าได้

ผมก็เห็นด้วยว่า ชีวิตที่ดีกว่าจนหน่อยนึง บางทีกลัวมากเลย กลัวจะกลับไปจนใหม่ เพราะมันเคยลิ้มรสมาแล้ว ความจนที่กูเพิ่งผ่านมันมาหยกๆ รสชาติมันเป็นอย่างไรกูรู้ดีมาก

เพราะฉะนั้นความกลัวอนาคต (fear of the future) มี 2 เหตุผลคือ หนึ่ง เพราะตัวเองไม่มีการผลิต ไม่มีความสามารถจะสร้างสรรค์รายได้แบบใหม่ๆ หรือมูลค่าใหม่ๆ หรืองงกับการสร้างสรรค์รายได้แบบใหม่ งงกับกระบวนการจัดการทุนแบบใหม่ งงกับคู่ต่อสู้ที่เรียกว่า ‘จีน’ ซึ่งที่จริงเป็นบรรพบุรุษของตัวเอง เผอิญคำว่า ‘จีน’ มันเพี้ยนมาก มันไม่ปกติ มิติมันมากเหลือเกิน หารูทะลุไม่ได้ มีทั้งทุน มีทั้งแรงงาน มีทักษะ มีทั้งเทคโนโลยี มีทั้งความสามารถในการจัดการกับตรรกะที่หลากหลาย

What should you do in this society? สมมติว่าคุณเคยมีชีวิตที่ดีมา แล้วอยู่มาวันหนึ่งมีอาการท้าทายนี้เกิดขึ้นกับคุณ

วิธีโต้ตอบกับความเปลี่ยนแปลงมีหลายอย่าง แล้วแต่หัวกบาลของคุณ บางคนก็ใช้การเทศน์ แล้วสังคมไทยเป็นสังคมที่ชอบเทศน์แล้วก็ฟังเทศน์ คิดเองไม่ได้คิด ฉะนั้นเล่านิทานอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลทักษิณนั้น ผมเข้าใจว่า คุณทักษิณเป็นแค่สัญลักษณ์ของการเปลี่ยน ในสัญลักษณ์ก็มีมนุษย์ มนุษย์ก็มีปัญหา ในฐานะที่คุณกำลังถามประวัติศาสตร์กับผมมาก แล้วไงล่ะ ทักษิณแล้วไงล่ะ What do you do next? คุณทักษิณไปแล้ว What do you do next?

ตอนนี้คืออะไร นี่คืออาการของการหาทางไปไม่เจอหรือ
ผมบอกแล้วว่า เมื่อพูดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานอย่าพูดเรื่องอิฐ หิน เหล็ก เงิน 100 บาทสังคมไทยต้องคิดให้ออกว่าเป็นค่า เหล็ก หิน อิฐ กี่บาท infrastructure of the mind เท่าไหร่ แล้วต้องซีเรียส ต้องมีความ emergency เหมือนอย่างที่คุณคิดเรื่องอิฐ หิน คุณต้องมี emergency มีความตั้งอกตั้งใจ คิดเองไม่ออกก็จ้างแขก ก็แขกดูไบยังจ้างฝรั่งเลย

เอาอย่างนี้ดีกว่า ที่เราพูดถึงแขก เขาก็จ้างฝรั่ง ความหมายคือวัฒนธรรมอาหรับนั้นทำให้เราเห็นว่าวัฒนธรรมมีความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ นี่ไม่ยอมคิดกันเลย ชอบพูดถึงการ์ตาร์ ดูไบ เหมือนอย่างกับเป็นฮ่องกง ไม่ใช่!!! คุณต้องรู้ประวัติศาสตร์ด้วย คุยกันแค่นี้ยังไม่เคยคุยกับผมเลยสังคมไทย

แต่เราทำไม่ได้
เพราะแขกมีอำนาจ แล้วยังไง แขกเข้าใจความสามารถในการบริหารจัดการที่จะบริหารจัดการฝรั่งอีกที แล้วสังคมไทยเป็นยังไง เราเป็นคนไทยแล้วยังไง

กระบวนการทางสังคมของไทยดูเหมือนจะเหนี่ยวรั้งโลกาภิวัตน์ เช่น เรื่องเอฟที มันจะถอยหลังหรือเปล่า
ไม่รู้ ไปถามพวกนั้นสิ การคุยกันว่า FTA มันดีหรือไม่ดีอย่างไร ขออย่างเดียว ขอให้คุยกันบนพื้นฐานความจริง ไม่เอาก็ได้ ไม่เอาก็รับผลที่เกิดขึ้นของมัน (consequences) จะเอาก็ต้องรับผลที่เกิดขึ้นของมัน

ผมชอบพูดว่า ที่ดินนั้นเป็นภาระที่ต้องแบกรับ ทักษะ เป็นเครื่องมือของความมั่งมี หากคุณใช้เครื่องมือนั้นบนที่ดิน เป็นเรื่องดีมากๆ คำถามคือ ถ้าคุณให้ที่ดินโดยผ่านเครื่องมือการจัดการความมั่งมี จะเกิดอะไรขึ้น ก็จะเกิดอุตสาหกรรมที่อุดหนุนผู้ยากไร้ ซึ่งใครได้ประโยชน์

ถ้าชาวนาไทยขายข้าวได้เกวียนละหมื่นสี่ สัก 4-5 ปี กระทรวงเกษตรเจ๊งเลยนะ หมายความว่าผู้ที่หากินกับงบประมาณของกระทรวงเกษตรยุ่งเลยนะชีวิต

ความมั่งมีเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง ความมั่งมีไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ความมั่งมีเป็นเครื่องมือสำหรับการมองชีวิตที่เป็นอุดมคติ...จึงต้องมีการสร้างความเป็นไปได้สูงสุดให้แก่มนุษย์ การสร้างความเป็นไปได้สูงสุดไม่ควรกระจุกตัวอยู่กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งใช่หรือเปล่า

ไม่ใช่ maximization of distribution of existing wealth ใช่หรือเปล่า maximization of distributing of existing wealth ก็เท่ากับ zero น่ะสิ คุณแบ่งโอเรียลเต็ลแจกคน 65 ล้านคนยังไง

สมัยรัฐบาลทักษิณ เราคิดกันเรื่องถ่ายโอนทุนไปให้คนจน ผมจะบอกว่า เราไม่เคยมีการคิดในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า ความสามารถและประสิทธิภาพของคนจนในประเทศไทยนั้นคือไฉน ไม่เคยเลย มีแต่งานวิจัยนิดๆ หน่อยๆ มี research paper, macro paper เรื่อง income, macro paper on tax, micro paper ของเอ็นจีโอเรื่องหมู่บ้าน ไม่เคยมีใครบอกว่า มีการวิจัยในระดับทั้งประเทศว่า ความสามารถของคนในการสร้างผลผลิต มีหรือไม่ อย่างไร พอเอาทุนย้ายเข้าไปใกล้เขาเท่านั้น โดยยังไม่ได้ยกระดับทักษะ โดยยังไม่ได้พัฒนาเรื่องทักษะด้านการคิด รายได้ก็เพิ่มขึ้นมาเลย พิสูจน์ได้อย่างไร ผมพูดเรื่องนี้มาเกือบ 10 ปีแล้ว มันปรู๊ฟด้วยการเก็บภาษีของรัฐบาลสมัยทักษิณ พอขึ้นปีที่ 3 อัตราการเก็บภาษีในต่างจังหวัดมันขึ้นสูงกว่ากรุงเทพฯ สถิติมีอยู่ที่กระทรวงการคลัง นี่คือเรื่องที่หนึ่ง

เรื่องที่สอง ไอ้คนเก็บบัญชีคือ ธนาคารออมสินกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ที่ทำหน้าที่เก็บบัญชีกองทุนหมู่บ้าน คนเก็บบัญชีน่ะรู้ว่าเงินที่ให้ไป 80,000 ล้าน ปัจจุบันกลายเป็น 120,000 ล้านแล้ว อยู่ในบัญชีของกองทุนหมู่บ้าน เงินมันเพิ่มขึ้นมา 40,000 กว่าล้าน

แต่ก็มีข้อถกเถียงว่า ชาวบ้านไปยืมเงินมาพักย้าย
This is wonderful! นั่นหมายความว่า ชาวบ้านรู้ว่า จะบริหารจัดการกับทุนอย่างไร มึงจะให้กูนั่งข้างถนนแบมือเหรอ ข้อเท็จจริงคือเงินในบัญชีมีหรือเปล่า มีเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เพิ่มขึ้น อัตราความสูญเสียที่ผ่านมาที่แท้จริงคือเท่าไหร่ ความสามารถที่จะหมุนเงินน่ะ จะเป็นความสามารถที่ทำวิจัยกันเฉพาะเจ๊กกรุงเทพฯ เหรอ การหมุนเงินนั้นชาวบ้านก็ทำเป็น แต่เราทำให้มีระบบขึ้น และที่สำคัญคือผมเก็บภาษีคุณ นี่ขนาดยังไม่ได้ยกระดับทักษะอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนะ

แต่เวลาที่รัฐบาลอธิบายไม่ค่อยอธิบายแบบนี้ จึงถูกโจมตีได้ง่ายๆ ว่ามันสูญเปล่า มันไม่ผลิตอะไร
ตัวเลขก็มี ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มาถามผมนี่

---------------------------------------------------

3 อนาคตเมืองไทย ไม่มีใครรู้ :

SME ไปรอดไหม
ไปรอดอยู่แล้ว เอาเฉพาะ creative sector นะ ไม่ใช่ SME, SME มันเป็นคำแบบรวมๆ (generic term)

creative sector ของไทยนั้นเกือบแสนล้านต่อปี rate of margin อยู่ที่ 30-60 เปอร์เซ็นต์ ผมถามคุณว่า ไอ้โรงงานที่บางนา-ตราดนี่นะ margin left over หลังจาก export ให้กับคนไทยเท่าไหร่ 8-9 เปอร์เซ็นต์ นี่ยังไม่นับค่าจ้างที่ยังต้องแบ่งพวกที่ผลิตอะไหล่เป็นส่งโรงงานญี่ปุ่นที่เป็นคนไทยเองนะ

สบู่สมุนไพรเนี่ย margin จากรายได้ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้กลับมาที่คำถาม “อะไรคือความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ของประเทศไทย???” ท่องไว้จะได้ชัดในหัวกบาล

เราจะไม่ส่งสบู่ขายเพื่อช่วยคน 65 ล้านคน เช่นเดียวกัน เราก็จะไม่สร้างจรวดไปแข่งกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย ความคิดทั้งคู่ไร้สาระ แต่การกระจาย (diversify) ความคิด และความคิดสร้างสรรค์ออกไป เป็นกุญแจสำคัญที่อยู่บนพื้นฐานของความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ ไม่อย่างนั้นคุณจะทำอะไร คุณจะขายอะไร

ผมจะพูดประโยคนี้เพื่อให้ช็อกคนนะ....กระแดะ!!! พูดภาษาเอ็นจีโอ ภาคส่วนอะไรๆ น่ะ กระแดะกันเกือบตาย แต่ไม่สร้างทางออกที่สร้างสรรค์ที่เป็นไปได้กันสักคน มันอะไรของคุณ คุณธรรมนำชาติ..เหรอ เออ ก็ไม่ว่ากันนะ 65 ล้านคนจะเป็นพระกันหมดเหรอ โอโฮ wonderful!! เพราะฉะนั้นอย่ามาพูดกับผมว่า รัฐบาลมีนโยบาย globalization…ไม่มี รัฐบาลควรมีเซนส์ว่า This is the world. เราไม่เคยมี ใช่ไหม ที่ผมทำ OKEM, TCDC ถูกกระทืบเกือบตาย ก็สังคมว่ายังไงล่ะ

มันแพง มัน ฟุ้งเฟ้อ
อ้าว ถ้ามันแพง มัน luxury แล้วมึงสร้างตึกสูงๆ กันทำไมล่ะ ทำไมไม่อยู่เพิงหมาแหงนกันทั้งกรุงเทพฯ

ก็เขารับไม่ได้
รับไม่ได้ก็เรื่องของคุณ ก็เลิกไปสิ แล้วก็จดไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศไทยว่า ข้อเสนอเพื่อการเปลี่ยนแปลง (proposal for change) ได้เกิดขึ้นแล้ว และปฏิกิริยาตอบกลับเป็นอย่างนี้ ปฏิกิริยาที่ไม่เป็นเหตุเป็นผล (irrational) เป็นปฏิกิริยาจากอารมณ์ (emotion reaction) มันไม่ได้ดูบัญชี ผลประโยชน์ หรือรายได้นะ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าพูดเช่นนั้น การบินไทยซื้อโบอิ้ง กับ Airbus ทำไม ทำไมไม่ซื้อเครื่องบินโซเวียต ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลไทยถือหุ้นใหญ่การบินไทย เอาเงินภาษีผมไปใช้ทำไม ผมไม่ได้ขึ้นการบินไทยฟรีล่ะ ผมจ่ายภาษีแล้วน่ะ

มีคนเดินเข้ามาใน TCDC ถามว่า ทำไมต้องเสียค่าสมาชิกเพราะผมจ่ายภาษีแล้ว ผมก็เลยบอกเขาว่า ผมก็เห็นด้วยนะ ให้คุณไปบอกรัฐบาลว่า ค่าน้ำค่าไฟผมก็ไม่ควรเสียเพราะคุณเอาเงินภาษีผมไปแล้วน่ะ

แต่คนที่เข้าถึงได้มันก็เป็นแค่ชนชั้นกลาง
ก็เหมือนกัน คนที่เข้าถึงวิธีผสมสมุนไพรก็มีแต่คนจน คนรวยเข้าถึงอีกอย่างหนึ่ง คนพอมีสตางค์ พอมีรายได้เหมือนอย่างเธอเนี่ย เรียนหนังสืออะไรมา ทำไมไม่ไปไถนา เรียนหนังสือใช้ภาษีของรัฐบาลมาตั้งเยอะตั้งแยะแล้วมาทำงานอย่างงี้ ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต http://www.prachatai.com/ is a highly unproductive activity, no income, no tax creation…useless

คุณรู้หรือเปล่า ดีไซเนอร์คนเดียว จ้างคนที่ขอนแก่นกี่คน เอาแค่หลานผมคนเดียวขยายเป็นกลุ่ม ส่งบุรีรัมย์กับขอนแก่น 8 หมู่บ้าน ส่งสินค้าไปดูไบ โรงแรมหกดาว ใครเข้าถึงบ้าง คนเข้าถึงไม่มาก แต่มีผลข้างเคียงมาก เกิดผลกระทบแบบระลอกคลื่นจากความรู้ของคุณที่ประกอบกันเป็นการจ้างงานและสร้างรายได้ ซึ่งมีผลกำไรต่อหน่วยสูง 30-60 เปอร์เซ็นต์

ผมไม่มีปัญหาในชีวิต คุณมีปัญหาในชีวิตเหรออย่างนั้นน่ะ การคิดอย่างนั้นเขาเรียกว่าไร้วุฒิภาวะเยี่ยงทารก (literal infantilism)

ผมเสนอให้ทำ discovery museum หมายความว่ารากของคุณ มันมีภาคภูมิที่เป็นศักยภาพ เช่น คุณคิดเรื่องซิ่นตีนจกตีนตุ๊กแกอะไรเนี่ย ก็ควรจัดการแยกประเภทให้ถูกต้อง เก็บรักษากันแมลงเข้าไปกัดไม่ได้ แสงแดดเข้าไม่ได้ เราให้นักวิจัยด้านสิ่งทอเข้าไปใช้ได้ เพราะคนพวกนี้เขาจะสามารถวิจัยแล้วดีไซน์ส่งโรงงานได้ เกิดการจ้างงานขึ้นมา

คำว่า ศิลปะ สำหรับผม หรือคำว่า ดีไซน์ คุณต้องขจัดสำนึกแบบกึ่งทารกออก คนจะอยู่บนพื้นฐานของประวัติศาสตร์ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก็คือสามารถตีความ (re-interpret ) ประวัติศาสตร์ เพื่อการอยู่ในโลกได้หรือไม่ ไม่ใช่การคัดลอกตัวหนังสือ (literal copy) คุณต้องสามารถตีความประวัติศาสตร์ของคุณเอง และความมั่งคั่งของยุโรปก็มาจากการตีความความหมายของทรัพย์สิน

ข้อเท็จจริงคือ คุณจะทำอะไร และคุณจะขายอะไร คุณต้องรู้ประวัติศาสตร์นะ รู้วรรณกรรมที่ดี ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง บทที่เขาไปเที่ยวซ่อง มีเด็กทหารอเมริกันที่มาจาก Mid-west เขาเรียกว่า bible belt ในอเมริกา เด็กคนนี้คงอายุสัก 17-18 พวกเพื่อนๆ ที่แก่แดดแก่ลมก็ไปเที่ยวผู้หญิง แต่เด็กคนนี้ไม่เอา ไปนั่งที่ประตู แล้วมีตาแก่เดินมา เด็กคนนี้ก็ชี้หน้าถามว่า คุณไม่อายบ้างเหรอ คุณขายผู้หญิงของคุณให้เรา ตาแก่นี่มองหน้าเด็กแล้วถอนหายใจบอกว่า ไอ้หนู โรมนี่นะอยู่มานานมาก กองทัพโน่นนี่มาโรมอยู่เรื่อย แล้วอีกหน่อยเธอก็ไปใช่ไหม โรมก็ยังเป็นโรมอยู่นะ ....เจ็บไหม เป็นเด็กเสือกไปเทศน์คนแก่ แต่โรมก็ไม่ได้ขายผู้หญิงแล้วใช่ไหม ญี่ปุ่นล่ะ สมัยสงครามโลกครั้งที่สองน่ะ ไต้หวันเมื่อก่อนนี้ก็ขายผู้หญิง เจ็กไทยรวยๆ ก็ไปซื้อ แต่เดี๋ยวนี้เป็นยังไง เปลี่ยนจากการขายเซ็กส์ไปสู่กระบวนการคิดเกี่ยวกับเซ็กส์ คุณปฏิเสธหรือว่า เซ็กส์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ หรือไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณเอง ทำอย่างไรที่จะทำให้เซ็กส์สร้างความพึงใจทางอารมณ์และทางปัญญา

คราวนี้ผมถามอีก อะไรคือความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของไทย? การบริการใช่ไหม a calmness of sensuality ใช่ไหม

นี่ ผมถ่ายรูปมาจะปีแล้วนะ ชักเหนื่อย เฮ้อ คนไทยเนี่ย หน้ามันจืดนะ ผมถ่ายรูปหน้าคนนี้ (เอารูปขึ้นมาโชว์) ไปถ่ายได้จากจาไมกัน ฝรั่ง แต่คนไทยเนี่ยไม่ ซึมซับความเจ็บปวดเข้ามาในตัว คนไทย pain bounce (ตีกลับความเจ็บปวด) กระเด้งออก ปุ้ง เขียนตรงหัวกบาลว่า เพราะมันเป็นกรรม พอคำว่าเจ็บปวดเข้ามามันก็กระเด้งดึ๊ง หน้าเรามันเลยจืด หน้าไม่มีคาร์แร็กเตอร์ สายตาพวกคุณน่ะ เป็นสายตาแบบไม่มีคาแรคเตอร์ ผมไปกรีก ไปที่อื่น ถ่ายพอร์เทรตสบายมาก เพราะเขามีคาร์แร็กเตอร์ (แบบตะวันตกน่ะนะ) แต่เพราะว่า ไม่มีคาร์แร็กเตอร์แบบ Mediterranean civilization นี่แหละมันก็เลย relaxing to those who has problems มันไม่แสดงออก คำว่า thank you ของฝรั่งบางทีฟังแล้วสงสารเลยนะ thank you, sir เสียงมันบอกถึงความเจ็บปวด บอกว่าหนาว มันออกมาในสำเนียงที่พูด ของเมืองไทยนะ ขอบคุณค่ะ.....ต่อให้ตบกับผัวมาเราก็ฟังไม่ออก เพราะว่าหน้าตาไม่บอก

ย้ำอีกที อย่าไปคิดมาก อย่าไปคิดหมุนไปหมุนมากับตัวเอง สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันที่จะล้มเหลว เป็นเครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งการสร้างสรรค์ คุณไม่เคยล้มเหลวแล้วคุณจะสร้างสรรค์อะไร คุณก็ได้แต่ก๊อปปี้ คุณคิดสูตรคณิตแบบฝรั่งเก่งฉิบหาย ไหนลองบอกมาซิว่า อะไรคือความเป็นดั้งเดิมแท้ๆ ของคุณ อะไรคือการตีความประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่เป็นของคุณเองแท้ๆ

ผมบอกมีตังค์ 100 บาท หินปูนเหล็กกี่บาท ปัญญากี่บาท คำว่าปัญญานี่หมายถึงปัญญาที่ออกรบได้นะ

ผมอยากทำอะไรรู้ไหม ผมอยากทดลอง เราคิดว่ามนุษย์ที่อยู่ในมิติเดียวตลอดเวลาโดยเราไปรับเอาวิธีคิดแบบผู้เชี่ยวชาญ (Specialization) พวกเรียน สังคมศาสตร์ก็จะคิดได้แคบ (narrow mind) ลูกผมเรียนอยู่ที่ธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ไม่เคยเดินไปศูนย์การแพทย์ที่รังสิต เพราะมันถูกทำให้รู้สึกว่า ศูนย์การแพทย์เป็นตึกเฉพาะด้าน ลูกผมชอบประวัติศาสตร์ก็เลยชอบไปฟังวิชาประวัติศาสตร์ด้วย ทั้งๆ ที่ตัวเองเรียนปรัชญา แล้วไอ้เด็กอย่างลูกผมเนี่ย มันจะเป็นทั้งประเทศไทยได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ที่ลูกผมเป็นได้เพราะพ่อแม่เป็นคนซึ่งอยู่กับชีวิตได้เพราะว่ามีความรู้ทั่วๆ ไป ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ

แต่สิ่งที่เราต้องการคือสมมติฐานว่ามนุษย์ไม่ใช่มิติเดียว มันต้องมีสถาบันที่ช่างฝีมือมีบ้านอยู่ติดกับนักปรัชญา ให้มันอยู่เต็มเลยนะ ให้มันอยู่กันเป็นหมู่บ้านเลยนะ เชิญช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญมาจากต่างประเทศ ประเภทที่เขารีไทร์แล้ว กลางวันตีกอล์ฟ กลางคืนสอน เด็กเดินไปที่บ้าน สอนเด็กเตรียมไม้ไผ่ยังไง คุณภาพของผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ แล้วเด็กที่เรียนการผลิตผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ก็ได้เดินผ่านบ้านนักปรัชญาด้วย ฟังเพลงโมร็อกกัน เด็กก็ขอจอยคลาสมั่ง ไม่เห็นเป็นไร ทำไมเราจึงต้องสร้างให้เด็กของเรากลายเป็นมนุษย์มิติเดียว ถ้าคุณทำแบบนั้น คุณทำบาปนะ คุณต้องสร้างบรรยากาศของความปั่นป่วนสับสน (organize chaos) ให้เด็กกลายเป็นคนที่มีความสามารถผสมผสาน แล้วเขาจะกลายเป็นช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ช่างเทคนิคอีกต่อไป ถ้าทำได้อย่างนั้น ผมให้ SME financing 5 ปีเลย 2 ปีแรกไม่เก็บต้นไม่เก็บดอก เพราะไอ้คนๆ นี้จะกลายเป็น trainer ด้วยตัวเอง เมื่อไปตั้งกิจการก็ต้องไปเทรนเด็กคนอื่น ผมในฐานะรัฐไม่ต้องจ่ายค่าเทรนไอ้เด็กพวกนั้น

แล้วคุณว่าอะไรขายได้ในโลกโลกาภิวัตน์นี้ โรงแรม 2 โรงแรมเหมือนกัน แต่อีกโรงแรมหนึ่งชาร์จได้ 2 เท่า เพราะอะไร ถ้าคุณมองดีๆ เพราะมีต้นไม้เยอะกว่า (หัวเราะ)

ผมสรุปสิ่งที่ผมพูดกับคุณแต่ต้นก็คือ ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage)

แต่ฟังดูประเทศไทยไม่ค่อยมองเห็น value ของตัวเอง จะทำอย่างไร
ก็บังคับให้มองให้เห็น ถ้ามองไม่เห็นก็ตายน่ะสิ มันทำไม่ได้ บางทีผมบ้าๆ ขึ้นมา บางคืนตื่นมาคิด ไปบอกญี่ปุ่นดีไหม บอกว่า ก่อนคุณจะปลดระวางเทคโนโลยีสัก 10 ปี ให้ถ่ายโอนมาเมืองไทย แล้วใน 10 ปีนั้นเราก็จะเทรนเด็กให้ใช้เทคโนโลยีนั้น พอเวลาสลึมสลือคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ญี่ปุ่นเขาคงไม่เอา เขาก็คงต้องเลือก เพราะไม่ได้มีแค่ประเทศไทยประเทศเดียว ผมคิดแบบนั้น คือคิดแบบ absurd คือถ้าคุณไม่ทำอย่างผมที่ผมคิดแบบ absurd คุณก็ต้องทำแบบที่ผมพูดตะกี๊

พอชาวบ้านใช้โทรศัพท์มือถือ คุณบอกฟุ่มเฟือย (หัวเราะ) แต่มีผลการศึกษาพบว่า เมื่อให้โทรศัพท์มือถือกับชาวบ้านในแอฟริกันไป ปรากฏว่าการผลิตสูงขึ้นเลย

ผมไปเยี่ยมชาวบ้านที่อุดรธานีกับหนองคายเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว ไป 8-9 หมู่บ้าน มีการจัดการกองทุนหมู่บ้าน เลี้ยงหมูเลี้ยงอะไร ถามป้าคนหนึ่งว่า ป้ามีมือถือหรือเปล่า แกก็ตอบว่า มีค่ะ เอาไว้ทำอะไร ก็เอาไว้เวลาส่งของขายค่ะ แล้วใช้ทำอะไรอีก โทรถึงแฟน แล้วแฟนอยู่ทีไหน แฟนอยู่ซาอุ...เฮ้ย นี่ดีกว่าจิตแพทย์อีกว่ะ โทรศัพท์มือถือนี่ เขาใช้ทำอะไรพวกคุณรู้หรือเปล่า ที่ไปด่าชาวบ้านว่าซื้อมือถือน่ะ ผมถือว่าเป็นวิจารณ์ที่หยาบคายและโอหังมาก

ในระยะอันใกล้ อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้จะยาวนานแค่ไหน
ไม่รู้ มีนักการธนาคารด้านการลงทุนมาคุยอะไรต่ออะไรกับผม หลังสุดที่ถามคือ เมื่อไหร่เมืองไทยจะสงบสักที แล้วบอกว่าคุณจะเป็นอะไรก็ได้ จะเป็นประชาธิปไตย เป็นคอมมิวนิสต์ อะไรก็ได้ แต่ขออย่างเดียว มีกฎหมายที่ชัดเจน มีการแปลกฎหมายที่นิ่ง มีผลผูกพันของสัญญาที่ชัดเจน ความหมายคำว่าการลงทุนโดยต่างชาติคืออะไรกันแน่ เอาให้ชัด ถ้าผมเห็นว่า ความชัดเจนของคุณ ผมไม่ได้ประโยชน์ด้วย ผมก็ไม่มา ตรงไปตรงมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไร แค่ต้องให้เกิดความชัดเจน อย่าเอาอารมณ์มาออกแบบแล้วอย่า จันทร์ พุธ ศุกร์ อย่างหนึ่ง

เหมือนกับเวลาที่เราอยากไปซื้อถ่านหินที่อินโดนีเซียเพื่อเอามาป้อนโรงงานของเรา เราก็ต้องขอร้องทางการอินโดนีเซียว่า ขอความกรุณาอย่าจันทร์ พุธ ศุกร์ คนละอย่าง ให้ทั้งสัปดาห์เหมือนกัน นั่นคือ อะไรที่เราต้องการ มันก็เป็นความต้องการของคนอื่นเหมือนกัน

ผมอยากให้เมืองไทยกลับสู่รากฐาน กลับสู่รากฐานทางความคิด รากฐานในการทำความเข้าใจ ทำมาหากินไป หมายความว่า ไม่มีใครมาเคาะประตูตอนกลางคืนแล้วบอก ขอพาตัวไปหน่อย นี่มันเป็นสิทธิมนุษยชน เวลาที่เราพิจารณาศีลธรรมของความเติบโตทางเศรษฐกิจ (moral of economic growth) ก็ดูจากสถิติทารกที่ออกมาจากท้องแม่ว่าใน 100 คนตายกี่คน แล้วการตายมันลดลง ก็นั่นแหล่ะตัวบ่งชี้ ความชอบธรรมของความเติบโตทางเศรษฐกิจ ไอ้อย่างอื่นมันแค่ side line

แล้วเวลาเถียงก็ขอให้เถียงแบบตื่นเต้นทางปัญญาหน่อย อย่าเถียงกันแบบเซ่อๆ เช่น ใส่สายเดี่ยวดีหรือไม่ดี หรือวัฒนธรรมเกาหลีเข้ามา วัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามา วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา อีกหน่อยถ้าวัฒนธรรมจีนเข้ามาล่ะ ก็ต้องถาม อ้าว แล้วไอ้พวกเจ๊กที่อยู่เมืองไทยล่ะ อยู่กันมาตั้งนานแล้วมึงจะว่ายังไงเนี่ย เจ๊กใหม่หมายความว่ายังไง เจ๊กเก่าหมายความว่ายังไง นี่มันกระพี้ แล้วทำไมไม่ถามว่า แล้ววัฒนธรรมของมึงไปไหน ไม่รู้เลยเหรอสังคมไทยน่ะ

วัฒนธรรมอีสานน่ะ เผอิญไม่ใช่วัฒนธรรมไทย แต่วัฒนธรรมอีสานมันโลกาภิวัตน์ไปตั้งนานแล้ว มันไปเทคโอเวอร์ร้านอาหารในยุโรปมากี่ปี่แล้ว จนเดี๋ยวนี้ศาสตราจารย์ที่ London School of Economics มาที่ TCDC ก็บอกว่า ลอนดอนมีสองอย่าง คือส้มตำกับแกงเขียวหวาน เป็นการล่าอาณานิคมลอนดอนโดยอีสาน เราต้องถามพวกคนที่ไม่ใช่คนอีสาน ต้องถามตัวเองว่า ทำไมอีสานจึงสร้างอาณานิคมในลอนดอนได้ ทำไมไม่เป็นวัฒนธรรมภาคกลาง ต้องถามตัวเองนะ

เคยเห็นหมู่บ้านในกรุงเทพฯไหมที่แต่งงานกับฝรั่ง ไม่มีนะ มีแต่คนอีสาน ทำไม เพราะว่าวัฒนธรรมด้านจิตวิญญาณของคนอีสาน ขนาดโกหกยังน่ารักเลย ฝรั่งเขามองอย่างนั้นนะ ดูง่ายดี ไม่ซับซ้อน ไม่ลึกซึ้ง แต่มันส์

คนอีสาน เวลากลัวมักโต้ตอบกลับด้วยการสร้างสรรค์ กับอีกประเภทหนึ่ง เวลากลัวมักโต้ตอบโดยเอาภูตผีปีศาจมาบัง เอาภูตผีปีศาจมาเป็นกลไกกำจัดความกลัว

เอางี้ดีกว่า ญี่ปุ่น เยอรมัน สวิส ทำไมหลงรักคนอีสาน เพราะมีค่านิยมที่ไม่มีลักษณะไปคุกคามคุณ คุณจะเป็นคนแปลกหน้ามาก็ได้ แต่ความเพี้ยนของคนอีสานไม่คุกคามคุณ ผมอยากให้คนอีสานมีโอกาสมากๆ เพราะมีโครงสร้างความคิดเหมือนคนญี่ปุ่น เพราะคุณญี่ปุ่นเชื่อเรื่องวิญญาณ (animism) จนปัจจุบันนี้ ญี่ปุ่นก็แสวงหาความได้เปรียบจากความเชื่อด้านวิญญาณมาสู่การสร้างสรรค์ค์และการออกแบบ

เพราะฉะนั้น ทำอย่างไร วิธีคิดให้เครื่องมือคนอีสานด้วยทักษะทางปัญญา นั่นคือความสามารถในการตีความชีวิตและทักษะด้านเทคนิค

คำถามของคุณมันต้อง ‘เล่าเรื่อง’ ถ้าไม่เล่าเรื่องก็เป็นคำถามเฟอะๆ ธรรมดา ไม่มีความหมายอะไร เถียงกันในประชาไทดอทดอมน่ะ ซึ่งผมก็ชอบอ่านนะ มันเป็นกระบวนการออกกำลังทางปัญญา (Intellectual acrobatic exercise) เถียงกันไปเถียงกันมา แต่มันต้องตั้งอยู่บนฐานของข้อมูล

เราปฏิเสธว่า ระบบการศึกษาของไทยจากยุค 1950-1970’s นั้นมีประโยชน์มาก แต่จากนั้นมาจนถึงปัจจุบันเราเริ่มเห็นปัญหาแล้ว ง่ายๆ คือสภาหอการค้าญี่ปุ่น จะมาบ่นว่าตั้งแต่ยุคคุณชาติชาย เรามีแรงงานที่มีทักษะไม่เพียงพอ นี่ขนาดในทางที่เราเลือกเดินนะ ที่เราเลือกว่าจะเป็นคนงานให้กับอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ก็มีปัญหา และเป็นปัญหาใหญ่แล้วในตอนนี้

ประชาไทต้องไปดูกระบวนการถ่ายโอนแรงงานที่มีทักษะน้อยจะทำอย่างไร คุณต้องทำเรื่องราวแบบนี้ด้วย แล้ว ความเติบโตทางเศรษฐกิจจะบังคับให้คุณเป็นคนมีศีลธรรมเองโดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างเช่น คนไทยนั้นเกลียดลาว พม่า เวียดนาม แต่เดี๋ยวนี้บ้านลูกผู้ดีมีลาว พม่ามาเป็นคนใช้ มีคนเวียดนามซักผ้า มันบังคับให้คุณต้องเป็นคนน่ารักน่ะ เพราะคุณต้องอยู่กับเขา คุณเป็นคนชั้นกลางขับรถแคมรี่ เสียค่าทางด่วนมาทำงานในเมือง คุณต้องเชื่อถือคนเหล่านี้ที่เลี้ยงลูกคุณ จะทำอย่างไร ไม่รู้ บางครั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ทำให้คนมีคุณธรรมมากขึ้นนะ

สังคมที่ชูคุณธรรมจะเป็นปฏิปักษ์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือเปล่า
ไม่สิ มันขึ้นอยู่กับคุณธรรมอะไรที่คุณกำลังพูดถึง คือผมมีความกลุ้มใจมากว่า คุณธรรมที่คุณพูดน่ะ ความดีนั้นดีไฉน แต่ไม่บอกเนื้อหาของความดี ผมมีปัญหาแค่นี้เท่านั้น

มีใครบอกว่าความดีไม่ดี แต่เนื้อหาของความดีของคุณคืออะไร แค่นั้นแหละ อย่าเสียเวลาเอ่ยคำงามมากจนเกินไปแล้วไม่ทำอะไรในชีวิต วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมงนะน้องเอ๋ย

การเมืองทุกวันนี้จะจบยังไง
ผมไม่รู้ ผมคิดว่าทุกๆ คนกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนผ่าน ผมไม่รู้ คาดการณ์ไม่ได้ และผมไม่อยากคาดการณ์เพราะผมกลายเป็นช่างภาพไปแล้ว

--------------------------------------
ที่มา: ประชาไท 2551, สัมภาษณ์พิเศษ ‘พันศักดิ์ วิญญรัตน์’ : คุณทักษิณไปแล้ว What do you do next?, accessed 28.10.2551, from
http://www.prachatai.com/05web/th/home/14242

แถลงการณ์ของสถาบันปรีดี พนมยงค์ ... เมื่อ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

ท่ามกลางการเกิดวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ขอนำเสนอสุนทรพจน์ของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ได้กล่าวปราศรัยในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๘๙ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ช่วยกันคลี่คลายหาทางออกร่วมกับภาคส่วนอื่นของสังคม โดยมีเนื้อหาบางส่วนดังนี้
“ระบบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตย อันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรมและความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม เช่น การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน ความไม่สงบเรียบร้อยความเสื่อมศีลธรรม ระบอบชนิดนี้เรียกว่าอนาธิปไตย หาใช่ประชาธิปไตยไม่ ขอให้ระวังอย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย”
“ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย ในการนี้ ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตย อันเป็นทางที่ระบอบเผด็จการจะอ้างได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าถ้าเราช่วยกันประคองใช้ให้ระบอบประชาธิปไตยนี้ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อย....ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้”
“การใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตย ต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวังผลส่วนรวมจริงๆ ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว หรือมีความอิจฉาริษยากันเป็นมูลฐาน เนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว”
“โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์ ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติกับข้าพเจ้า.... แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตัวเช่นนี้แล้ว ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้ สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตนอย่างไรมากกว่า”
“ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม”

สถาบันปรีดี พนมยงค์

๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๑

--------------------

ที่มา:

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ประวัติศาสตร์ สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน อย่างย่อๆ


Islamic Republic of Iran
جمهوری اسلامی ايران
Jomhuri-ye Islāmi-ye Irān

------------------------------
๒,๕๖๓ ปีที่แล้วในดินแดนเปอร์เซีย จักรวรรดิมีเดียนล่มเพราะถูกพระเจ้าไซรัสของเปอร์เซียตีแตก พระเจ้าไซรัสจึงก่อตั้งราชวงศ์อะคามีเนียปกครองจักรวรรดิเปอร์เซีย ตั้งแต่นั้น ซึ่งก็คือดินแดนอิหร่านในปัจจุบัน


อิหร่านมีราชวงศ์ผลัดกันปกครองนานถึง ๒,๕๓๘ ปีกระทั่งถึงราชวงศ์ปาห์ลาวี พระเจ้า เรซา ชาห์ ปกครองอิหร่านระหว่าง พ.ศ. ๒๔๖๘-๒๔๘๔ ในห้วงช่วง ๑๖ ปีของ เรซา ชาห์ ประชาชนมีความสุขพอสมควร มูฮัมมัด เรซา ชาห์ ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ ประชาชนคนอิหร่านก็ยังมีความสุข

กระทั่งมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเสียผลประโยชน์ไปยุยงส่งเสริมพระเจ้าชาห์ให้เข้าใจอิหม่ามโคไมนีผิด ชาร์จึงเริ่มมีพฤติกรรมขัดแย้งกับผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณที่คนอิหร่านจำนวนไม่น้อยให้ความศรัทธาอย่าง อะญาตุลลอฮ์ โคไมนี การทะเลาะเบาะแว้งทำให้คนอิหร่านแบ่งเป็น ๒ พวก คือ ๑. พวกนิยมกษัตริย์ และ ๒. พวกชอบอิหม่าม

โคไมนีใช้กลไกของรัฐทุกอย่าง ทั้งศาล + รัฐบาล + ทหาร
วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๗ กษัตริย์ มุฮัมมัด เรซา ชาห์ ก็ประสบพบความสำเร็จในการให้โคไมนีออกนอกอิหร่าน โคไมนีจึงต้องไปปักหลักอยู่กับมุสลิมชิอะห์ที่นาจาฟ เมืองทางตอนใต้ของอิรัก ประชาชนคนอิหร่านครึ่งหนึ่งในสมัยนั้น เคารพรักอิหม่ามโคไมนี และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการประท้วงไม่หยุด

เพื่อไม่ให้กระแสของตนหายไป โคไมนีจึงใช้พูดใส่เทป ผู้ศรัทธาก็เอาเทปไปจำหน่ายจ่ายแจกตามบ้านเรือนผู้คนในอิหร่านผ่านไปหลายปี ไม่มีทีท่าว่าอิหม่ามโคไมนีจะหยุด แม้ตัวไม่อยู่ในประเทศ แต่อิทธิพลคำปราศรัยจากเทปและจดหมาย ก็ยิ่งทำให้ผู้คนถวิลหาอิหม่ามโคไมนีพระเจ้าชาห์และพวกจึงกลัวแม้แต่เงาของอิหม่ามโคไมนี

พ.ศ. ๒๕๒๑ พระเจ้าชาห์ขอให้ซัดดัม ฮุสเซน ผู้นำคนใหม่ของอิรัก ช่วยไล่อิหม่ามโคไมนีออกจากอิรัก เพราะอิรักมีพรมแดนประชิดติดกับอิหร่าน ผู้คนยังแอบไปมาหาสู่อิหม่ามโคไมนีได้ อิหม่ามโคไมนีจึงต้องระเหเร่ร่อน อพยพออกจากอิรักเมื่อ ๖ ตุลาคม ๒๕๒๑ คราวนี้ต้องไปไกลจึงชานกรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส การไล่รังแกกันจนจนตรอก ทำให้ผู้รักใคร่ในอิหม่ามโคไมนีหันหน้ามาสู้กับพวกกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อมเก็บไว้ในใจเหมือนในอดีต การสนทนาพูดจาเกี่ยวกับข้อบกพร่องของผู้คนในราชวงศ์ปาห์ลาวีมีทุกหนแห่ง

เพียงเวลาไม่ถึงปี บัลลังก์ที่เคยมั่นคงดุจหินผาของราชวงศ์ปาห์ลาวีก็สั่นคลอนง่อนแง่นรวดเร็วมาก๑๖ มกราคม ๒๕๒๒ ประชาชนคนที่ฟังเทปของอิหม่ามโคไม่นีลุกฮือกันทั้งประเทศ ชาร์และราชวงศ์ทุกพระองค์จึงต้องทรงเผ่นออกจากอิหร่าน ระบอบกษัตริย์ที่เคยอยู่ยงคงกระพันมานานถึง ๒,๕๓๘ ปี ก็จึงถึงมีอันล้มคลืน ล้มเพราะกษัตริย์หูเบาไปเชื่อคำยุแยงตะแคงรั่วของคนเพียงกลุ่มเดียวที่เสียผลประโยชน์ส่วนตัวโคไมนีที่ต้องออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานถึง ๑๕ ปี จึงได้กลับกลับมาคราวนี้ได้เป็นเบอร์หนึ่งของชาติพระเจ้าชาห์ทรงเผ่นออกนอกประเทศเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๒ ... พ.ศ.๒๕๒๓ ก็สวรรคต.

-------------------------------------------------------------------


ที่มา:
1. นวรัตน์, น. 2551, ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง , คอลัมน์ เปิดฟ้าส่องโลก, หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2551, กรุงเทพ, หน้า 2, อ้างอิงใน thainews 2008, ใดใดในโลกล้วน อนิจจัง, accessed 27/10/2551, from http://thaienews.blogspot.com/
2. Wikipedia 2008, Iran, accessed 27/10/2008, from

เครือข่ายสันติประชาธรรม ร่วมรณรงค์ “3 หยุด”


เครือข่ายสันติประชาธรรม ร่วมรณรงค์ "หยุดนำมวลชนมาปะทะกัน! ... หยุดให้ท้ายพันธมิตร!หยุดนำประเทศ ...ไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหาร!"

ในขณะนี้เป็นที่ชัดเจนว่าสังคมไทยกำลังตกอยู่ในภาวะตึงเครียดอย่างยิ่ง อันเป็นผลจากการเผชิญหน้าทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่าง ๆ จนทำให้เกิดความเชื่อโดยทั่วไปว่าสังคมไทยคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการปะทะ-นองเลือดระหว่างประชาชนสองขั้วได้ พวกเราในฐานะกลุ่มทางสังคมที่ห่วงใยต่อชีวิตของประชาชนจึงขอเรียกร้องต่อฝ่ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. หยุดนำมวลชนมาปะทะกันเราขอเรียกร้องให้ผู้นำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และกลุ่มพล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ยุติการเคลื่อนไหว ด้วยวิธียั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและโกรธแค้นซึ่งกันและกัน และยุติการเคลื่อนมวลชนของตนออกจากที่ตั้งทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกับอีกฝ่ายหนึ่ง
เราขอเรียกร้องให้ผู้นำพันธมิตร, นปช. และพล.ต.อ.สล้างตระหนักว่าสังคมไทยไม่จำเป็นต้องสร้างวีรบุรุษ-วีรสตรีในลักษณะเช่นนี้ พวกท่านไม่ควรเห็นมวลชนของตนเองเป็นเพียงหมากทางการเมืองเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ต่อจากนี้ไป หากเกิดความรุนแรงต่อชีวิตของประชาชน ผู้นำของกลุ่มเหล่านี้ จักต้องรับผิดชอบ 2. หยุดให้ท้ายพันธมิตรสาเหตุสำคัญที่ทำให้วิกฤติการเมืองในขณะนี้เดินมาสู่ “ทางตัน” ก็คือ ผู้นำฝ่ายพันธมิตรฯ ปฏิเสธไม่ยอมเจรจาประนีประนอมทางการเมือง แต่ยืนยันที่จะใช้วิธีแตกหักเพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่ระบอบ “การเมืองใหม่” ของตนซึ่งเป็นระบอบเผด็จการคนส่วนน้อยและสวนทางกับหลักการประชาธิปไตย ประการสำคัญ ในขณะที่ผู้นำพันธมิตรอ้างว่าตนทำเพื่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ข้อเสนอที่ให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามามีอำนาจทางการเมืองโดยตรง เช่น มีอำนาจในการแต่งตั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพโดยตรง เท่ากับต้องการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวทางการเมือง ซึ่งจะส่งผลต่อสถานะที่เป็นกลางและอยู่เหนือการเมืองของสถาบันฯ ในระยะยาว
นอกจากนี้ ที่ผ่านมากลุ่มต่าง ๆ ในสังคมที่ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ราษฎรอาวุโส องค์กรสิทธิมนุษยชน วุฒิสมาชิก และสื่อมวลชน ต่างไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เป้าหมายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น และยุทธวิธียั่วยุให้เกิดความรุนแรงของฝ่ายพันธมิตร จึงกล่าวได้ว่าในขณะนี้เราไม่มีบุคคลหรือสถาบันใดในสังคมที่ได้รับความยอมรับจากทุกฝ่ายว่าเป็นกลางอย่างแท้จริง ทำให้โอกาสของการเจรจาเพื่อหาทางออกกับคู่ขัดแย้งริบหรี่ลงจนแทบเป็นไปไม่ได้
กระนั้น เราเห็นว่ายังไม่สายเกินไปที่ทุกภาคส่วนในสังคมจะยุติการอุปถัมภ์ค้ำจุนกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างผิดๆ และเริ่มต้นวิจารณ์การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร นปช. รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ ตลอดจนระบบตุลาการอย่างเที่ยงตรงและเท่าเทียมกัน เราเชื่อมั่นว่าด้วยแนวทางนี้เท่านั้นที่จะทำให้เกิดการสานเสวนาที่วางอยู่บนข้อเท็จจริงอย่างรอบด้านเพื่อหาทางออกให้กับวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง 3. หยุดนำประเทศไปสู่อนาธิปไตยและการรัฐประหารเราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยึดมั่นในหลักการว่า “การแก้ไขความขัดแย้งจะต้องอยู่ในกฎกติกา ไม่ใช่ด้วยอาวุธและความรุนแรง” การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้ ซ้ำยังทำให้ความขัดแย้งแบ่งฝ่ายทางการเมืองขยายตัวสูงขึ้น ประการสำคัญ ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองขณะนี้ ชวนให้เชื่อได้ว่าหากเกิดการรัฐประหารหรือยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการนอกรัฐธรรมนูญอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเกิดการจลาจล และนองเลือดของประชาชนครั้งใหญ่ และหากเป็นเช่นนั้นจริง บรรดาผู้ก่อการรัฐประหารจะต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมและหายนะที่ท่านมีส่วนก่อให้เกิดขึ้น
เครือข่ายสันติประชาธรรม

พระสุธน-มโนราห์

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า "ปัญจาลนคร" ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนามว่า "อาทิตยวงศ์" พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า "จันทาเทวี" ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า "พระสุธน" เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระรูปโฉมงดงาม ยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้
ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า "ท้าวชมพูจิต" มีฤทธิ์อำนาจมากสามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรใดก็ได้ พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมจึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบูรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมืองนครมหาปัญจาละซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระนามว่า "พระเจ้านันทราช" และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่อาณาประชาราษฏร์นี้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็นนี้บรรดาประชาราษฏร์จึงพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์และในขณะเดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิตผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีใจลำเอียงในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก
เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราชจึงทรงปรึกษากับปุโรหิต ผู้ซึ่งรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้ และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาคราช หลังจากได้รับทราบพระประสงค์ของพระราชาแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังสระใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาคราชแล้วเป่ามนต์ลงในสระใหญ่ยังผลให้น้ำปั่นป่วน และเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสระ ในขณะประกอบพิธีอยู่นั้นพราหมณ์ต้องเข้าไปในป่าเพื่อหารากไม้มาทำเป็นเชือกไว้จับพญานาคราช
ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผาจึงต้องขึ้นจากสระ แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่มเพราะรู้ตัวว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำจัดตน
ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่มก็พบกับพรานป่าผู้หนึ่งชื่อพรานบุญกำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดีจึงเข้าไปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนครซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราชพรานป่าสาบานว่าเขาจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่รีรอ
ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชและเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงให้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสียพรานบุญจึงยิงเขาตายด้วยลูกธนู พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย
พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่ วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งชื่อกัสสปะ ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาสจะบินมาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณีทุกๆ 7 วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรีก็คิดจะจับนางกินรีสักนางหนึ่งไปถวายพระสุธนเพื่อเป็นของขวัญจากป่า แต่พระฤาษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้นอกจากจะได้บ่วงบาศของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศ ความจริงแล้วพญานาคราชไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วงบาศเพราะจะเป็นบาปแก่ตน แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตนตรวจสอบดูก็พบว่านางกินรีที่ชื่อว่ามโนห์ราและพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป หลังจากได้บ่วงบาศจากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบรรดาธิดาทั้ง 7 คนของท้าวทุมราชได้ (ท้าวทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาส) นางมโนห์ราซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศที่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่สร้างกันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางเพราะนางมีพระสิริโฉมงดงามและการอบรมอย่างขัตติยนารีจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ พรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน
ฝ่ายปุโรหิตโกรธมโนห์ราเพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาวของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล้วจึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนครให้ยกทัพมาตีเมืองของตนและเพื่อขับไล่ผู้รุกราน ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธนยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนห์ราออกไปเสียให้พ้นทาง
คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหนึ่ง เข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพระองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัยจึงทรงรับสั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วนปุโรหิตจึงกราบทูลว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญเพื่อสะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า" ในขณะเดียวกันนั้นเองคนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทูลพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้แล้ว เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่าถ้าจะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มายิ่งขึ้นจำเป็นต้องใช้สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนกเช่นนางมโนราห์ก็จะเป็นการบูชายัญที่ดีเยี่ยม พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไปใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์แต่เขาก็ยังยืนกรานเช่นเดิม ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไรเมื่อกลับจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน
ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิดา พระมารดาของนางและพระสุธน บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนีจากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้ ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้วนางจึงขอปีกและหางมาสวมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลางฝูงชนอันเนืองแน่น ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่ายรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาสท่ามกลางความตกตะลึงของฝูงชนนั้นเอง

หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนครแต่ก็ต้องมาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ไม่ได้อยู่ในพระนครอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งและหลังจากทราบความจริงก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์ แม้ว่าทั้งสองพระองค์จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไปเพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้ พระสุธนให้พรานบุญนำนางไปจนถึงสระโบกขรณีและได้เข้าไปนมัสการพระฤาษี พระฤาษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนและได้สั่งไว้ว่าหากพระองค์เดินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสียเพราะว่าหนทางลำบากมากและอันตราย แล้วพระฤาษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนให้พระสุธนไปตามที่นางมโนราห์ขอร้องไว้ เมื่อได้เห็นของสองสิ่งพระสุธนถึงกับร่ำไห้ พระฤาษีรู้สึกสงสารพระสุธนและบอกพระองค์ว่านี้เป็นผลบุญกรรมแห่งอดีตชาติจึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้พระสุธน พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพังโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของพรานบุญ ผ่านป่าทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้มีผลไม้มากมายซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้น เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วนแต่มีหนามพิษ พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่งๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหารจึงคาบพระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหารเพิ่มอีก พระสุธนได้โอกาสหนีแต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าอีก
หลังจากเดินทางมาพักหนึ่งก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันตลอดเวลาโดยไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้ แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์ก็สามารถข้ามไปโดยง่าย จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้นางมโนราห์ซึ่งจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น พิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาบ้านเมืองครบ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหนึ่งโดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาส ครั้นนกมาถึงสวนก็เกาะบนต้นไม้พระสุธนจึงเร้นกายออกจากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาตเพื่อไปสรงสนานนางมโนราห์จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ขณะสรงน้ำนางมโนราห์เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนได้มาถึงเขาไกรลาสแล้ว นางมีความยินดียิ่งนักและออกตามหาพระองค์ ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง

ท้าวทุมราชทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจที่พระสุธนมีความรักนางมโนราห์อย่างมาก มิฉะนั้นก็คงจะไม่เดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับประการ พระองค์คิดว่าเจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจฉริยะและความสามารถเป็นพิเศษ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนมีต่อธิดาของพระองค์
ครั้นถึงวันทดสอบท้าวทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้องทั้ง 7 ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่ายรำให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์ พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมากเพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกัน เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่าถ้านางใดมีแมลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้านางนั้นคือพระชายาของพระองค์ พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บนหน้าของมโนราห์จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที พระราชาและทุกๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนักที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดกัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่ง (อย่างไรก็ตามที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้วมือของนางและไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใดเลย) แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน
หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวทุมราช ให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองของพระองค์ ท้าวทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนครด้วย ท้าวทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน กษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระสหายกันแต่บัดนั้น หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง 7 วันแล้ว ท้าวทุมราชลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คนเดินทางกลับพระนครของพระองค์ ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์และใช้ชีวิตร่วมกับนางมโนราห์จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์

ที่มา: thaigoodview 2008, 0215 พระสุธน-มโนราห์, accessed 27/10/2008, from http://www.thaigoodview.com/node/9799?page=0%2C0