วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ขอพื้นที่นี้แสดงความเห็นหน่อย .. ขอมีพื้นที่แสดงการเมืองภาคประชาชน (บ้าง ?)..เพราะไม่มีปัญญาไปยึดทำเนียบ / รัฐสภา / บ้านนายก...etc.

หากการปฎิวัติประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ในความหมายของการมุ่งเปลี่ยนโครงสร้างทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไปพร้อมๆกันอย่างถึงรากถึงโคน
หากแต่มีความหมายแค่การแก้รัฐธรรมนูญให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์เฉพาะต่อผู้ร่างและพวกพ้องในยุคนั้นๆแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความขัดแย้งแบบแบ่งสองขั้วอย่างสุดโต่งในประเทศเราก็จะยังคงอยู่ไปอีกนานแสนนาน

ตอนนี้เขาเห็นกันและกันเป็นแมลงสาบไปแล้ว มุ่งแต่จะเอา สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค ให้กับพวกตนกลุ่มของตนแต่ขาดซึ่งภราดรภาพ คือ ขาดซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติเห็นอกเห็นใจกันและยอมรับเคารพในความแตกต่างของกันและกัน มีแต่กูดีมึงเลว กูถูกมึงผิด เต็มไปหมดๆๆ

ยุคเราตอนนี้ก็เหมือนกับยุคสองขั้วสุดโต่งในสงครามเย็นว่าจะเอาเสรีประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม คนที่เรียกร้องในสมัยหกตุลาต้องพ่ายแพ้ถูกตราหน้า (โดยฝ่ายขวา ฝ่ายทหาร ฝ่ายเจ้า ฝ่ายนักการเมืองและข้าราชการแนวจารีตนิยม) ให้กลายเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ไป

ในขณะที่ฝ่ายเจ้าฝ่ายผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จที่ทำให้ระบอบการปกครองในไทยเป็นเผด็จการอีกครั้งนั้นกลับได้รับการเชิดชูและตีความให้เป็นเสรีประชาธิปไตยไป และพวกกลุ่มทุนนิยมแบบผูกขาดอย่างอังกฤษอเมริกาก็ให้ความเห็นชอบและเห็นดีกับเผด็จการแบบนี้ด้วยเพราะพวกนี้คิดว่าถ้าไทยไม่เข้าพวกคอมมิวนิสต์ก็ถือว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา

สรุปว่าเราได้มีความพยายามบวชคำว่า การจัดการแบบสังคมนิยม ให้เป็นระบอบคอมมิวนิสต์ไป ทำให้มันน่ากลัว ไม่น่าพิสมัย และเลยเถิดไปถึง เป็นระบอบสามานย์ที่จะเข้ามาล้มระบอบกษัตริย์ ทั้งๆที่ระบอบราชาธิปไตยนั้นได้ถูกแปลงไปเป็นระบอบคณาธิปไตยไปแล้วตั้งแต่ 2475... คุ้นๆแนวคิดแบบนี้มั้ย ...ยุคนี้คำฮิตติดลมบนก็ประมาณ ระบอบทักษิณ ทุนนิยมสามานย์ ปฎิญญาฟินแลนด์ ...etc.

มีโพลอันนึงชี้ออกมาในตอนนี้ว่า "มีพวกพันธมิตรอยู่ประมาณยี่สิบเปอร์เซนต์ในสังคมไทย และมีพวก นปก หรือ นปช อยู่ประมาณยี่สิบเปอร์เซนต์เช่นกัน ที่เหลืออีกหกสิบเปอร์เซนต์นั้นเป็นพลังเงียบอาจยังไม่ได้เลือกข้างหรือเลือกแล้วแต่ยังไม่มีการแสดงตัวออกมา"
น่าจะเป็นไปได้มากทีเดียวที่คนกลุ่มใหญ่สุด กลุ่มหกสิบเปอร์เซนต์นี้ ที่จะช่วยกำหนดชะตาบ้านเมืองในอนาคตว่าจะให้เป็นไปทางใดมากกว่า คนกลุ่มนี้คงกำลังประมวณผลอยู่ว่าจะเข้ากลุ่มไหน หรือ กลายเป็นกลุ่มที่สาม หรือ กลุ่ม "สองไม่เอา"

กลุ่มนี้เขาน่าจะรู้ดีและเชื่อมั่นว่าประชาธิปไตยไม่ใช่แค่หย่อนบัตรเลือกตั้ง เขารู้ว่าเขาสามารถสร้างประชาธิปไตยทางตรงได้เช่นกัน เช่นการลงประชามติ หรือ การตั้งองค์กรประชาชนเพื่อเข้ามามีส่วนร่วม ผมเชื่อว่ากลุ่มนี้ซื้อไม่ได้ กลุ่มนี้มีทั้งชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง เกษตรกร กรรมกร.... ( เอ ... ถ้าประชาธิปไตยมันดีจริง ทำไมระบบชนชั้นในประเทศเรามันเยอะเหลือเกิน .. ไหนว่า ประชาธิปไตยต้องเท่าเทียม เสมอภาค ไง ??? .. นอกเรื่องไปนิดส์ .. )

เข้าเรื่องดีกว่า .. คนกลุ่มนี้ ผมว่าเขายังช้าอยู่ อาจจะยังไม่ได้ตัดสินใจเดินหน้าใดๆ .. อาจเป้นเพราะยังติดเรื่องการทำมาหากินอยู๋ ก็เขาเป็นชนชั้นรองถึงล่าง ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่หากินทำงานแม้วันเดียวก็อดตายแล้ว ... หรือ บางส่วนอาจคิดแค่ว่าใครก็ได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองแค่ขอให้ฉันไม่เดือดร้อนก็พอ และถ้าพวกนี้คิดแบบนี้เป็นส่วนใหญ่จริงๆว่าใครก็ได้... ผมว่ามันจะไม่ทันการณ์ ก็เหมือนสมัย ปฎิวัติคณะราษฎร์ ที่ประชาชนชั้นกลางชั้นล่างไม่ได้มีส่วนเคลื่อนไหวใดๆเลย เป็นแค่สงครามระหว่างเจ้ากับชนชั้นนำที่ต้องการอภิวัฒน์ประเทศให้เป็นสากลนิยม.. สุดท้ายสมบูรณายาสิทธิราชย์ก็แค่เปลี่ยนหน้าตาไปเป็นคณาธิปไตยและอมาตยาธิปไตยในปัจจุบัน.. มันยังคงเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ แบบเดิมๆ พูดได้ว่า 76 ปีมานี้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

การจะกระตุ้นให้กลุ่มที่สามนี้ตัดสินใจว่าจะต้องทำอะไรกับบ้านเมืองในตอนนี้นั้น มันต้องมีตัวเร่งปฎิกิริยา ซึ่งผมคิดว่าถึงตอนนี้ เราคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราได้เดินมาถึงจุดที่ยากมากๆๆๆๆๆ

เป็นแบบนี้มาตลอด เหมือนประเทศนี้ถูกสาป ประชาชนจำนวนมากต้องมาเจ็บตัวหรือตายไป (โดยที่แทบจะไม่มีใครจำวีรกรรมหรือชื่อของพวกเขาได้เลย) เพียงเพื่อความขัดแย้งของชนชั้นนำที่มีไม่กี่คนไม่กี่กลุ่มที่เอาแต่รักษาประโยชน์หรือ wealth ของตนเองโดยไม่ได้คำนึงถึงประชาชน..ประชาชนเป็นฐานให้ตลอด เป็นอย่างนี้ตลอดไม่ว่าจะเป็น 2516 2519 หรือ 2535 .. สูตรนี้ตลอด.. สำหรับ พศ นี้ ผมว่าก็อาจจะเข้าสูตรเดิมอีกเช่นกัน

อีกอย่างนะครับ ต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งเหล่านี้ แทนที่อำนาจทั้งสามอำนาจ คือ นิติบัญญัติ บริหาร และ ตุลาการ จะช่วยกันแก้ปัญหา .. อำนาจบางอำนาจกลับสร้างปัญหา โดยการเข้าไปแทรกแซงอำนาจอื่นอย่างจงใจเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แห่งกลุ่มตน จะมีผู้อยู่เบื้องหลังมากน้อยแค่ไหนผมไม่รู้ แต่ผลลัพธ์ของมันกลับทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเดือดร้อน อยู่ไม่เป็นสุข เกิดความระแวงกันและกัน
ผมเองไม่เคยเห็นด้วยที่อำนาจบริหารจะอยู่เหนืออำนาจนิติบัญญัติหรืออำนาจตุลาการ อาจช่วยกันทำงาน ขัดแย้งเพื่อสร้างสรรค์บ้าง แต่ไม่ใช่ช่วยกันแบ่งเค้กหรือกัดกันอย่างเลยเถิดจนเกิดความชะงักงันในการบริหารบ้านเมืองโดยเฉพาะในห้วงเวลาที่เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจไปทั่วโลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ... และผมก็ไม่เคยเห็นด้วยที่จะมีอำนาจตุลาการเข้ามาครอบงำเพื่อมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติและบริหารแบบมือที่มองไม่เห็น จนประเทศจะทำอะไรก็ต้องรอการชี้นำจากศาลแบบนี้ ถ้ายุติธรรมจริงๆก็ดีไป ..

แต่ถ้าไม่ .. อำนาจตุลาการก็กำลังสร้างความเสื่อมถอยให้กับกลุ่มตนเองและประเทศชาติด้วย
ที่ถูกต้องผมว่า อำนาจตุลาการที่ศักดิ์สิทธิ์ยุติธรรมและเชื่อถือได้จะต้องตรวจสอบได้และถูกวิพากวิจารณ์โดยสุจริตใจได้ และต้องมีกลไกที่อนุญาตให้มีการตรวจสอบดูแลได้และในอนาคตควรมาจากระบอบประชาธิปไตยโดยตรงหรือโดยอ้อมก้ได้ โดยเฉพาะพวกศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่างทางการเมือง .. จะดีมากถ้าโดยมีประชาชนมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งขึ้นมา ควรยกเลิกระบบการแต่งตั่งในอำนาจตุลาการจากใครก็ไม่รู้เสียที

ส่วนองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ก็มีอำนาจแบบแปลกๆ ประมาณอำนาจล้นฟ้า อายุยืนหมื่นๆปี ... อันนี้ไม่ขอพูดถึง เพราะ รัฐธรรมนูญใหม่นี้ มันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประโยชน์ส่วนตนที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายฝ่ายตรงข้ามโดยเฉพาะมากกว่า..มันไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน..วิพากวิจารณ์ไปก็เท่านั้น..ตอนนี้ !

ไม่มีความคิดเห็น: