วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

รื้อฟื้นคดีเพชรซาอุ..เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง..ทำให้ผู้คนหลายคนต้องตายหรือทุกข์ทรมาน..ต้นตอแห่งสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในสมัย นายนพดล ปัทมะ ที่ยังดำรงตำแหน่ง รมว ต่างประเทศอยู่ ได้มีข่าวออกตามสื่อต่างๆทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับความพยายามในการรื้อฟื้นคดีเพชรซาอุฯ .. ซึ่งไทยจะใช้เป็นความหวังเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลซาอุดิอาระเบียที่ระหองระแหงกันมากว่า 18 ปี... ลองอ่านรายละเอียดของข่าวดูครับ:-

กรุงเทพฯ 5 มี.ค.2008 - นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าเยี่ยมคารวะของนาย Nabil H. Ashri อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย วันนี้ (5 มี.ค.) ว่า มีการหารือและย้ำในเรื่องที่ประเทศไทยต้องการปรับระดับความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบียให้เป็นระดับปกติ คือ มีสถานเอกอัครราชทูต และเอกอัครราชทูต ที่ผ่านมามีปัญหาจากคดีนักการทูตและนักธุรกิจซาอุฯ ถูกสังหารในประเทศไทย และเรื่องเพชรซาอุฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ซาอุดีอาระเบียยังไม่ปรับระดับความสัมพันธ์กับไทย“ผมจะเชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาทางคลี่คลายเรื่องดังกล่าว และหาคำตอบให้ประเทศซาอุดีอาระเบีย รัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อตามคนผิดมาลงโทษให้ได้ เนื่องจากที่ไทยได้สูญเสียความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย ทำให้ซาอุดีอาระเบียไม่ออกวีซ่าให้แรงงานไทย จากที่ปี 2532 มีแรงงานไทยในซาอุฯ ถึง 150,000-200,000 คน แต่ปัจจุบันมีเพียง 10,000 คนเท่านั้น ทำให้สูญเสียรายได้เข้าประเทศถึง 200,000 ล้านบาท ดังนั้น การรื้อฟื้นคดีต้องดูว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง เพื่อรายงานให้ซาอุดีอาระเบียทราบโดยเร็ว” นายนพดล กล่าว.
(สำนักข่าวไทย 2008)

สัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบีย อยู่ในฐานะที่ดีมาเป็นเวลานาน มีการเจริญไมตรีทางการทูต ไทยส่งแรงงานไปทำงานในประเทศซาอุจำนวนมาก เวลาเดียวกันคนประเทศซาอุก็เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากเช่นกัน ประเทศซาอุทำรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล แต่ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดิอาระเบียไม่ดีเหมือนเดิม เพราะมีเรื่องเกี่ยวพันกันระหว่าง 2 ประเทศหลายเรื่อง
1. เรื่องฆ่า จนท.สถานทูตซาอุ
2. เรื่องนักธุรกิจซาอุถูกอุ้ม
3. เรื่องโจรกรรมเพชร

แต่ละเรื่องลึกลับซับซ้อน ไม่สามารถที่จะคลี่คลายได้ชนิดเรียบร้อยบริบูรณ์ ชุดสืบสวนฝีมือดีของเมืองไทย ถูกเรียกมาใช้หมด แต่ละคดีก็จบหรือสรุปแบบมีเงื่อนงำ คือทิ้งข้อกังขาให้คนที่สนใจขบคิด
ระยะแรกประเทศซาอุเข้มงวดเรื่องการส่งแรงงานไทยไปซาอุ และห้ามคนซาอุเดินทางเข้าไทย รัฐบาลไทย รวมแล้วถึง 5 ชุด 5 สมัย พยายามแก้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ ทำให้มีการรื้อฟื้นสืบสวนสอบสวนคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุฯ หลายครั้งหลายครา คดีบางเรื่องก็ยังไม่เสร็จสิ้นจนถึงเดี๋ยวนี้
สมัยที่แรงงานไทยไปทำงานที่ซาอุฯ ได้ค่าหัวคิวส่งแรงงานไทยไปซาอุ แพงมากๆ หัวละถึงแสนบาท โดยมีหัวหน้ามาเฟียไทยเรียกเก็บ จ่ายใครบ้างไม่ทราบ ทางการประเทศซาอุฯ ก็พยายามปราบเรื่องนี้ มีการย้ายเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องกับการออกวีซ่า และส่งคนเข้ามาสืบสวนลับๆ
จากการเข้มงวดกวดขันของทางการซาอุฯ ทำให้วงจรอุบาทว์ส่วยแรงงานชะงัก จึงทำให้มีการฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง

1. เมื่อประมาณปลายปี 2531 ขณะที่แรงงานไทยส่งไปซาอุยังฟูเฟื่อง เวลาเดียวกันที่ซอยนานา ใน กทม. และที่พัทยาใต้ แถวมาลินพลาซ่า รุ่งเรืองคราคร่ำไปด้วยคนซาอุ เกือบจะเรียกได้เลยว่าลักษณะเป็นเมืองแถบตะวันออกกลาง ที่พัทยามีการแบ่งโซนกินและเที่ยวอย่างชัดเจน ไม่มีการล่วงล้ำแดนทำให้อยู่กันได้อย่างสงบ บรรดาหญิงบาร์อะโกโก้ สาวนั่งดริ๊งค์ สาวขายชั่วโมงจากทุกสารทิศไปขุดทองที่พัทยา
- กลุ่มซาอุอยู่แถวพัทยาใต้ย่านมาลินพลาซ่าและโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ มีโบว์ลิ่งอยู่ด้านล่าง
- ฝั่งตรงข้ามกับมาลินพลาซ่าแถวฝั่งทะเลย่าน Baby อะโกโก้เป็นถิ่นของนายโรต้าแก๊งเยอรมัน
- พัทยากลางกลุ่มฮอลแลนด์
- ไต้หวันอยู่พัทยานาเกลือ
สถานบริการเปิดถึงตี 5 ... ปลายปี 2531 มี จนท. กงศุลของซาอุฯ ถูกลอบสังหารที่พัทยา ขณะกำลังนั่งดื่มเบียร์เคล้านารีอยู่ที่บาร์เบียร์ พัทยาใต้ในย่านของพวกมิดเดิลอีส คนร้ายมาโดย จยย. ขับขี่ 1 คน ซ้อนท้าย 1 คน แต่ละคนสวมหมากกันน็อค รถจยย. ของคนร้ายจอดห่างเป้าหมายประมาณ 30 เมตร คนร้ายที่นั่งซ้อนลงจากรถ จยย. โดยยังสวมหมวกกันน๊อคอยู่ พร้อมชักอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 หรือ ขนาด .32 ยิงแบบ Double Tribs คือ 2 นัดซ้อน ลูกกระสุนวิ่งคู่เข้าหาเป้าหมายถูกบริเวณราวนมซ้าย 2 นัด แม่นราวจับวาง โดยในขณะนั้นคนร้ายที่ขับขี่รถ จยย. ก็ยังคร่อมอยู่บนรถและติดเครื่องรถ จยย.อยู่แล้วคนร้ายเป็นคนยิงก็กระโดดขึ้นซ้อนท้าย จยย.คันเดิม เสียง จยย.แผดก้องดังยาว แล้วรถ จยย.ของคนร้ายก็หายไปกับความมืด ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก แต่ถึงจะเร็วอย่างไรก็ไม่พ้นสายตาของกลุ่มนายตำรวจหนุ่ม เพิ่งจบจากโรงเรียนนายร้อย นั่งพักผ่อนปล่อยอารมณ์อยู่กับเพื่อนๆ ประมาณ 3-4 คน ทุกคนไม่มีอาวุธปืน ทุกคนไม่มียานพาหนะ เพราะมาเที่ยวพักผ่อน มิได้มาปฏิบัติหน้าที่ พวกเขานั่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 200 เมตร เห็นคนร้ายหลังเสียงปืนดัง และได้ยินเสียงเร่งมอเตอร์ไซค์ ไม่สามารถจำอะไรได้เลย ทุกคนวิ่งไปที่เกิดเหตุ ก็พบว่าเหยื่อตายสนิท ทุกคนยอมรับฝีมือการยิงแม่นยำ และมีความชำนาญในการใช้อาวุธ การสืบสวนคดีนี้ ไม่ทราบตัวผู้กระทำผิด

2. เมื่อต้นปี พ.ศ.2532 นายซอแล๊ะ เลขานุการโท ประเทศซาอุฯ ประจำประเทศไทย ถูกสังหารด้วยอาวุธปืนพก AUTO ขนาด 6.35 ถึงแก่ความตายในเขตท้องที่ สน.ลุมพินี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมคนร้ายได้คือบังมุด ปฏิเสธต่อสู้คดี ในที่สุดศาลยกฟ้อง

ขอพักคดีเรื่องฆ่าไว้ก่อนชั่วคราว เพราะการฆ่ายังไม่จบ หลังจากคดีบังมุดแล้ว ยังมีการฆ่าเกิดขึ้นอีก 2 ราย จนท.สถานทูตซาอุฯ ตายอีก 3 ศพ รวมทั้งนักธุรกิจของประเทศซาอุ ถูกอุ้มหายไปอีก 1 คน เหตุที่พักไว้เพราะมีคดีใหญ่คือ คดีโจรกรรมเพชรซาอุเกิดขึ้น

3. ประมาณปลายปี 2532 ตอนกลางๆ เดือนธันวาคม เริ่มมีข่าวแพร่งพรายออกมาว่า ทางรัฐบาลประเทศซาอุฯ ประสานมายังรัฐบาลไทย ว่ามีคนไทยที่ไปทำงานที่ประเทศซาอุ โจรกรรมเพชรล้ำค่า จากวังเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส มูลค่าหลายร้อยล้าน ทำให้ประเทศซาอุฯ เข้มงวดแรงงานไทยที่จะไปทำงานซาอุฯ มากยิ่งขึ้น ขั้นต้นรัฐบาลไทยปฏิเสธ ต่อมารัฐบาลประเทศซาอุฯ ยืนยันว่าคนร้ายที่กระทำผิดเป็นคนไทย ที่ไปทำงานในประเทศซาอุฯ และได้หนีกลับประเทศไทยแล้ว ขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุ
หนังสือพิมพ์ในประเทศไทยทุกฉบับลงข่าว เรื่องโจรกรรมเพชรซาอุฯ ระบุคนร้าย คือ นายเกรียงไกร เตชะโหม่ง อยู่ที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง ขณะนั้น พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ดำรงตำแหน่ง รมว.มหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมตำรวจ พล.ต.อ.แสวง ธีระสวัสดิ์ อ.ตร. มอบหมายให้มือปราบพระกาฬ ซึ่งนำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ (ยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบช.ก. ซึ่งควบคุมกองปราบ เป็นหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวน
การเจรจาในทางการทูตเกิดขึ้น ประเด็นจะส่งตัวผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นคนไทยให้กับประเทศผู้เสียหายหรือไม่ ประเทศไทยไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับซาอุดิอาระเบีย ในทางปฏิบัติ ส่งก็ได้ ไม่ส่งก็ได้ ระหว่างเจรจาเรื่องส่งตัวหรือไม่ส่งตัวไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ นสพ.ลงข่าว เพิ่มความกดดันให้กับ นายเกรียงไกร เตชะโม่ง เป็นอย่างมาก เพราะถ้าถูกส่งตัวไป ก็ถูกแขวนคอตายสถานเดียว เพราะนายเกรียงไกร เห็นตัวอย่างในประเทศซาอุฯ มาแล้ว ขนาดลักทรัพย์ธรรมดา ยังถูกตัดมือ แต่นี่ลักในพระราชวังกษัตริย์ไฟซาล ผู้มีอำนาจ ก็คงจะถูกประหารชีวิตสถานเดียว จึงทำให้นายเกรียงไกร หนีสุดชีวิต พร้อมยาไซยาไนต์พร้อมฆ่าตัวตาย กล่าวคือถ้าถูกจับตัวได้ ก็จะรีบกินยาไซยาไนต์ทันที
รัฐบาลไทยเลือกหนทางตัดสินใจไม่ส่งตัวนายเกรียงไกร ไปดำเนินคดีที่ประเทศซาอุฯ เพราะพิจารณาแล้วเห็นว่ากฎหมายของประเทศซาอุฯ รุนแรงเกินไป โดยจะขอดำเนินคดีในประเทศไทย
... หมวด 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วยอำนาจการสอบสวนของไทย มาตรา 20 ระบุไว้ว่า “ความผิดซึ่งมีโทษตามกฎหมายไทย ได้กระทำลงนอกราชอาณาจักรไทย ให้อัยการสูงสุด หรือผู้รักษาการแทน เป็นพนักงานสอบสวน หรือจะมอบหน้าที่นั้นให้พนักงานสอบสวนคนใดก็ได้
...หมวด 3 ว่าด้วยอำนาจศาล มาตรา 22 (2) “เมื่อความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทย ให้ชำระคดีนั้นที่ศาลอาญา………”
เมื่อรัฐบาลไทยตัดสินใจไม่ส่งตัวผู้กระทำผิดไปดำเนินคดีที่ซาอุฯ ก็ได้ประสานให้ส่งผู้แทนในฐานะเป็นผู้เสียหายมาร้องทุกข์ดำเนินคดี ซึ่งประเทศซาอุ ก็ได้ส่ง ร.ต.อ.ซาแอค เอ็มเอส ซาซิส เข้ามาให้ปากคำ และอัยการสูงสุดก็ได้มอบหมายให้ กองปราบปราม เป็นพนักงานสอบสวน

กลับมาดูทางเรื่องการโจรกรรมเพชร ถ้าฟังตามข่าวแล้วเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่า คนไทยตัวเล็กๆ ไม่มีการศึกษา จะสามารถอาจหาญเข้าไปโจรกรรมถึงในวังเจ้าชาย เข้าไปเอาได้อย่างไรในรั้วในวัง ทำกันกี่คน มีคนอื่นร่วมไหม ทำไมมันง่ายนัก ไม่อยากจะเชื่อ แล้วนำกลับเข้าเมืองไทยได้อย่างไร ผ่านการตรวจตราของทั้งสองประเทศ เวลาออกเมือง และเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ศุลกากร ตายังกับสับปะรด หลุดรอดไปได้อย่างไร
แทบไม่น่าเชื่อว่าแรงงานไร้ฝีมือ เรียนจบ ม.3 จากโรงเรียนเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง จะเป็นต้นเหตุทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบียที่มีมายาวนาน

เมื่อกว่า 30 ปีแล้วคนไทยนิยมหนีความแร้นแค้นไปขุดทองในประเทศซาอุดีอาระเบีย "เกรียงไกร เตชะโม่ง" เด็กหนุ่มจากหมู่บ้านแม่ปะหลวง หมู่ 1 ต.แม่ปะ อ.เถิน จ.ลำปาง เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น

หลังจากเรียนจบ ม.3 ก็ควักเงิน 2 หมื่นบาทให้นายหน้าในจังหวัดส่งตัวไปทำงานที่ซาอุดีอาระเบีย ... เกรียงไกรถูกส่งไปเป็นแรงงานไร้ฝีมือในบริษัทรับจ้างทำความสะอาดแห่งหนึ่ง ที่รับจ้างทำความสะอาดพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซิส กษัตริย์ซาอุฯ ตั้งอยู่ชานเมืองหลวงบนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ภายในมีอาคารหลายหลัง มีห้องต่างๆ กว่า 100 ห้อง และมีรั้วสูงกว่า 3 เมตร ล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน แทบทุกห้องประดับประดาด้วยอัญมณีมีค่า เพชรนิลจินดา แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาดตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟก็มีกุญแจเสียบคาไว้ เพราะซาอุฯ เป็นประเทศมุสลิมบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีการลงโทษผู้ทำผิดรุนแรง คดีอาชญากรรมโดยเฉพาะลักทรัพย์จึงไม่มีให้เห็น แต่สำหรับเกรียงไกรแล้วความหละหลวมที่ว่านี้เปิดโอกาสให้เขาลงมือลักทรัพย์สินของกษัตริย์ซาอุฯ ได้โดยง่าย


จากเรื่องจริง .. วงใน... ของผู้ที่อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวนโจรกรรมเพชรซาอุฯ ภาคที่ 2 ท่านหนึ่งคือ พล.ต.ต. อังกูร อาทรผไท (อาทรผไท 2008) ซึ่งได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเกรียงไกร เตชะโม่ง จอมโจรบันลือโลกผู้นี้ .. อังกูรได้เขียนเรียบเรียงไว้ว่า :-
.... ต่อมาเมื่อมีการติดตามเพชรกลับคืนมาได้ นำส่งคืนไปให้กษัตริย์ไฟซาล ปรากฎว่าเพชรอัญมณีบางชิ้นที่ส่งกลับคืนไปเป็นของปลอม ทำให้รัฐบาลซาอุฯ ไม่พอใจ ไม่ยอมรับแรงงานไทย ไม่ยอมให้คนซาอุฯ เข้าประเทศไทย (การสอบสวนภาคแรกนั้นกองปราบเป็นผู้สืบสวนสอบสวน และจับกุมตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ส่งขึ้นศาล) ขณะนั้นเป็นรัฐบาล อานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็น อ.ตร. พล.ต.ท.ธนู หอมหวล หรือเชอร์ล็อคนู เป็น ผบช.ก. เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็น หน.ชุดสืบ พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ขณะนั้นยศ พ.ต.ท. ตำแหน่งเป็นรอง ผกก.2 ป. อยู่ในชุดสืบสวนสอบสวน เพชรซาอุ ภาคที่ 2 นี้ด้วย เรื่องที่ พล.ต.ท.ธนู ได้รับมอบหมายให้สืบสวนสอบสวน มี 2 เรื่อง
1. กรณีฆ่า จนท. สถานทูตซาอุฯ
2. กรณีโจรกรรมเพชรซาอุ
ซึ่งผลการสืบสวนสอบสวนของเชอร์ล็อคนู ในคดีแรกออกมาแบบชนิดไม่คาดคิด ผมเองก็ยังนึกไม่ถึง ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะพูดถึงในโอกาสต่อไป
ส่วนกรณีโจรกรรมเพชรซาอุ ภาคที่ 2 เชอร์ล็อคนู ก็ยังสามารถเก็บตกได้ตัวผู้ต้องหาที่รับซื้อของโจร (ผู้รับซื้อเพชรและอัญมณี จากนายเกรียงไกร ที่โจรกรรมจากวังกษัตริย์ไฟซาลได้อีกหลายคน) และพบว่ามี จนท.ตำรวจอมเพชรอีกหลายคน
เรื่อง จนท.อมเพชรของเชอร์ล็อคนู หรือเพชรซาอุ ภาค 2 นี้ ก็เล่นไม่ยาก กล่าวคือ ย้อนรอยการดำเนินการของตำรวจชุดแรก พบว่าเมื่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนไปตรวจค้น ตามจุดต่างๆ ในครั้งแรกนั้น เมื่อพบของกลาง (ทรัพย์ที่จากการกระทำผิด) ที่ใดก็ทำบัญชีทรัพย์ที่ยึด แล้วนำไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจท้องที่ แต่พอนำเข้า กทม. แล้ว พบว่าของกลางบางรายการหายไป บางทีก็ขาดหายไปทั้งบันทึก เหตุเพราะมีการจัดทำบันทึกใหม่ แต่ก็จับกุมได้แต่เจ้าหน้าที่ระดับเล็กๆ
ส่วนบลูไดมอนด์ เพชรเม็ดใหญ่ ที่ทางซาอุฯ ต้องการทราบไม่รู้อยู่ที่ใด
ข้อบกพร่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจประการหนึ่งก็คือ หลังจากออกปฏิบัติการสืบสวนตรวจค้นตามจุดต่างๆ ที่ต่างจังหวัดแล้ว พอกลับ กทม. มารวมทำบันทึกใหม่ เป็นฉบับเดียวเพื่อจะให้เรียบร้อย ทำให้สิ่งของบางรายการขาดหายไป
ในช่วงที่ทำการสืบสวนการโจรกรรมเพชรซาอุภาค 2 พล.ต.ต.อังกูร ผู้เขียน ทำหน้าที่รับตัวนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งต้องโทษตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำจังหวัดอยุธยา ใกล้จะพ้นโทษ (นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษ 1 ถึง 7 ปี ศาลยกโทษขึ้นมาในอัตราสูงสุด แต่นายเกรียงไกรรับสารภาพ เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทษลงกึ่งหนึ่ง) ตอนเช้าประมาณ 09.00 น. จะไปรับตัวนายเกรียงไกร ที่เรือนจำอยุธยา แล้วพาตัวไปสอบสวน ที่ บชก. ถนนอังรีดูนังส์ กทม. โดยมี จนท.ราชทัณฑ์ คุมตัวมาด้วย
มีโอกาสใกล้ชิดนายเกรียงไกร นั่งติดกัน คุยกันในช่วงเดินทางประมาณ 4-5 วัน เรื่องรายละเอียดต่างๆ เล่าสู่กันฟัง ไม่มีผลทางคดี เพราะคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว
ลักษณะของนายเกรียงไกร เป็นคนบุคลิกหลุกหลิก ไม่นิ่ง เหมือนหวาดระแวงตลอดเวลา นัยน์ตาล่อกแล่ก ความรู้สึกไว ตอบสนองทันที เมื่อมีเสียงเรียก เหมือนคนไม่เคยไว้ใจใคร การพูดจาลักษณะใช้ความคิด คิดคำนึงก่อนพูด เชื่อถือไม่ค่อยได้ ที่นิ้วกลางมือซ้าย ฝังแม่เหล็กไว้ในนิ้ว เพื่อใช้ในการต้มตุ๋นในการเล่นการพนันไฮโล บ่งบอกว่าเป็นอาชญากรตัวยง (นายเกรียงไกร เดินทางเข้าไปขายแรงงานในประเทศซาอุฯ เช่นเดียวกับผู้ขายแรงงานอื่นๆ เป็นพวก Unskill Labour แรงงานไร้ฝีมือ ทำงานอยู่ในบริษัท รับทำความสะอาดแห่งหนึ่งในซาอุ ซึ่งในบริษัทดังกล่าวนี้ มีคนไทยอยู่ประมาณ 4-5 คน แล้วยังมีคนฟิลิปปินส์ ศรีลังกา ร่วมทำงานในบริษัทเดียวกัน) ในช่วงเกิดเหตุ บริษัทรับทำความสะอาดที่นายเกรียงไกรทำงาน ได้ไปรับจ้างทำความสะอาดวังของกษัตริย์ไฟซาล บินซาฮัด อับดุลลาซีส วังดังกล่าวอยู่นอกเมือง เนื้อที่วังประมาณ 10 ไร่เศษ ภายในเป็นอาคารหลายหลัง เป็นที่ประทับของกษัตริย์ มเหสี และห้องรับแขก ห้องรับรอง นับได้เป็นร้อยห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงประมาณ 3 เมตรทั้งสี่ด้าน ในช่วงที่บริษัทรับจ้างทำความสะอาดนั้น กษัตริย์ไฟซาล และมเหสี แปรพระราชฐานพักร้อนในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ประมาณ 15 วัน ในวังดังกล่าวจะมีแม่บ้านคนดูแลความเรียบร้อยประจำตึก คอยเปิดกุญแจตึก ตู้เก็บของให้คนงานทำความสะอาด และการทำความสะอาดดังกล่าวนี้ คนงานทุกคนจะเดินทางไปทำงานโดยรถปิคอัพของบริษัทเช้าไปส่ง เย็นรับกลับ มีการเซ็นชื่อเข้าทำงาน และเซ็นกลับ เพื่อเป็นการเช็คสอบว่าใครมาทำงานบ้าง ใครไม่มาบ้าง จะได้คิดค่าจ้างแรงงานได้ถูก หัวหน้าคนงานที่คอยถือสมุดคุมรายชื่อคนทำงานเป็นชาวฟิลิปปินส์
สิ่งที่ควรทราบ คือประเทศซาอุเป็นประเทศมุสลิม จะไม่เลี้ยงสุนัข และเป็นประเทศที่กฎหมายแรงมาก คดีลักทรัพย์จะไม่ค่อยมี เพราะกฎหมายลงโทษหนักและทารุณ เช่น คดีลักทรัพย์ ผู้กระทำผิดจะต้องถูกตัดมือ และไม่ค่อยนิยมติดสัญญาณกันขโมย
นายเกรียงไกรเป็นคนฉลาดแกมโกง ไปทำงานครั้งแรกที่วังดังกล่าว ก็เห็นช่องทางโจรกรรม เพราะมองเห็นเพชรนิลจินดาอัญมณีของมีค่า แหวน นาฬิกา วางเกลื่อนกลาด ตามตู้โชว์ โต๊ะแต่งตัว แม้แต่ตู้เซฟ ก็ยังมีกุญแจเสียบ
ตอนเช้าคนงานผู้ใดจะไปทำงาน ต้องลงชื่อในบัญชีการทำงานที่หัวหน้าถือ ครั้นตอนกลับนายเกรียงไกรเห็นช่องทาง คือ มีคนงานฟิลิปปินส์บางคนอู้งาน ขอกลับก่อนที่รถของบริษัทจะมารับกลับ โดยรู้กับคนควบคุม โดยเซ็นชื่อมาทำงาน พร้อมเซ็นกลับไว้ด้วย เวลาเดียวกันนายเกรียงไกร ก็พบว่าแม่บ้านที่มาเปิดบ้านให้ทำความสะอาด บางวันก็ไม่ได้มาปิด มาเช็คห้อง เพราะเจ้านายไม่อยู่ และคิดว่าคงไม่มีใครกล้าลองดี
ดูลาดเลา 2 วัน วันที่ 3 นำกระสอบปุ๋ยติดตัวไปด้วย ... เที่ยงของวันที่สอง นายเกรียงไกรไปทำความสะอาดที่วังแห่งนี้ ก็เริ่มวางแผนทันที โดยในวันที่สามนายเกรียงไกร เริ่มนำกระสอบแบบกระสอบปุ๋ย ทบห่อให้เล็กติดตัวไป โดยไม่ให้ใครรู้ แล้วก็เซ็นชื่อไปทำงาน พร้อมเซ็นชื่อกลับไว้ในสมุดหัวหน้างาน พร้อมกับบอกหัวหน้าว่า จะขอเดินทางมาเอง กลับเอง ดังนั้นทุกวันนายเกรียงไกร ก็จะมาทำงาน โดยโผล่เข้ามาทางไหน ไม่มีใครรู้ เพราะตึกมีหลายหลัง หลายทางเข้าออก ทุกเช้าก็จะมาเซ็นชื่อทำงาน พร้อมกับเซ็นชื่อกลับไว้ด้วย ในเวลาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว นายเกรียงไกรมิได้เดินทางออกจากวังไปไหนเลย พอหมดเวลาทำงานแต่ละวันแล้ว ก็จะซุกตัวอยู่ในห้อง ในบริเวณตึกที่เห็นว่ามิดชิดไม่มีการตรวจสอบ พอคนงานกลับหมด แม่บ้านไปแล้ว นายเกรียงไกร ก็ออกจากที่ซ่อนเที่ยวค้นหาของมีค่า โดยใช้เวลาเก็บของมีค่าทั้งสิ้น 7 คืน (7 ครั้ง) แล้วของมีค่าทั้งหมดถูกรวบรวมในถุงปุ๋ย เหวี่ยงออกนอกกำแพงในเวลากลางคืน แล้วปีนกำแพงออก นำของมีค่ากลับที่พัก
ประเด็นเรื่องของมีค่านั้นจริงหรือเก๊ เกิดได้หลายทาง
1. นายเกรียงไกร เก็บของมีค่าตามตู้โชว์ ตามลิ้นชัก ตามตู้เซฟที่กุญแจตู้เซฟคาไว้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าที่มาของสิ่งของในตู้โชว์ อาจเป็นของสวยงาม การหาหรือได้มาอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ซีเรียส อาจจะมีของไม่แท้บ้างก็ได้
2. ตอนคืนของที่ถูกโจรกรรมจากแหล่งรับซื้อในเมืองไทย ซึ่งร้านรับซื้อรู้ว่าเป็นของที่ถูกโจรกรรม ก็รีบนำเอามาคืน เวลาคืนก็ต้องการคืนให้ครบ แต่อาจจะมีบางชิ้น บางส่วน แกะของจริงเอาไปขายต่อ หาคืนแบบทันทีทันใดไม่ได้ ก็หาของปลอมยัดไส้ไป
*** ส่วนของมีค่าที่ส่งคืนไม่ครบนั้น จนบัดนี้ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าอยู่ที่ใคร ***
นายเกรียงไกร เคยทำงานอยู่ซาอุมาเป็นเวลา 7 ปี รู้ลู่ทาง ทางหนีทีไล่ จุดอ่อน จุดแข็ง ของการปฏิบัติงานของ จนท. ในประเทศซาอุฯ ถนนหนทางต่างๆ สามารถเดินทางไปไหน มาไหนคนเดียวคล่องแคล่ว และเคยส่งของกลับเมืองไทย โดยการบรรจุหีบห่อก่อนแล้วหลายครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน สิ่งของมีค่าที่หยิบฉวยมาจากวังกษัตริย์ไฟซาล ถูกลำเลียงกล่องกระดาษแข็ง ผสมเสื้อผ้าของใช้ปะปนไป โดยของใช้ที่ไม่ค่อยมีค่าอยู่ด้านบน หีบห่อก็ไม่ได้ทำให้สวยงาม การเขียนจ่าหน้าก็เขียนด้วยลายมือ เหมือนคนไม่มีการศึกษา จำนวน 4 กล่อง การกระทำดังกล่าว ทำให้เจ้าหน้าที่ๆ เกี่ยวข้อง ประเมินสถานการณ์ผิด
สิ่งของบรรจุหีบห่อ 4 หีบ น้ำหนักรวม 90 กก. ไม่ได้หมายความว่าเครื่องเพชรอัญมณีหนักถึง 90 กก. แต่เป็นน้ำหนักรวม เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ประมาณการครึ่งๆ น่าจะใกล้เคียงความจริง
นายเกรียงไกร เป็นคนฉลาดรู้ว่ากษัตริย์ไฟซาล จะเสด็จกลับวังภายใน 15 วัน เพราะฉะนั้นก่อนครบกำหนด นายเกรียงไกรก็เดินทางกลับเมืองไทย โดยส่งสิ่งของทางพัสดุภัณฑ์ทางอากาศไปก่อน นายเกรียงไกรเดินทางกลับประเทศไทย ก่อนครบกำหนดทำงานถึง 2 เดือน
นายเกรียงไกร เมื่อเดินทางถึง กทม. แล้ว ก็ไปติดต่อรับสิ่งของพัสดุภัณฑ์ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่นายเกรียงไกร เคยทำในลักษณะนี้มาหลายครั้ง ทางเจ้าหน้าที่ศุลกากรของไทย ก็เคยตรวจของนายเกรียงไกรมาก่อนแล้วหลายครั้ง ซึ่งส่วนมากคนไปทำงานตะวันออกกลาง มักจะนำสิ่งของที่ตนใช้อยู่ที่ต่างประเทศ กลับติดตัวมา ไม่ค่อยมีราคาค่างวด มีการเสียเงินใต้โต๊ะกัน กล่องหรือหีบห่อละ 7 พันบาท ส่วนคราวนี้นายเกรียงไกร บอกว่ารู้สึกเสียวๆ เหมือนกัน เพราะเจ้าหน้าที่ศุลกากรสุ่มเปิด 1 กล่อง แล้วเอามือหยิบสิ่งของที่อยู่บนๆ ขึ้นมาซึ่งเป็นเสื้อผ้า ถ้าหากล้วงลึกลงไปอีกฝ่ามือเดียว ก็จะถึงอัญมณีทันที
นายเกรียงไกร จ่ายค่าผ่านด่านศุลกากร คิดราคาแบบเหมาจ่าย สิ่งของต่างๆ รวม 4กล่องกระดาษรวมจ่ายเพียง 7 พันบาท
ทางด้านกษัตริย์ไฟซาล กลับจากพักร้อนกลับมาที่วัง ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งผิดปกติ เพราะข้าวของมีค่ามีจำนวนมาก และการหยิบฉวยของนายเกรียงไกร เลือกหยิบบางชิ้นไม่ให้ผิดปกติ
กรรมย่อมเห็นผลทันตา กษัตริย์ไฟซาล เมื่อกลับมาถึงวังก็จะทำพิธีละหมาด ซึ่งการละหมาดของกษัตริย์เคร่งครัดมาก คือการเลือกทิศ ซึ่งจะต้องหันหน้าไปทาง “ไบตุ้ลเลาะห์” หรือตรงตำแหน่งที่ประดิษฐ์สถานหินศักดิ์สิทธิ์ (กะบะ) การบอกทิศที่ถูกต้อง จำเป็นต้องใช้นาฬิกาเรือนหนึ่ง ซึ่งมิตรกษัตริย์อีกเมืองหนึ่ง ประทานให้มา โดยนาฬิกาเรือนดังกล่าวมีเข็มชี้บอกทิศทางที่นั่งทำพิธีละหมาด กษัตริย์ไฟซาล หานาฬิกาเรือนดังกล่าวไม่พบ จึงเกิดเอะใจตรวจดูทรัพย์สินอย่างอื่นที่มีค่า พบว่าเพชรอัญมณีหายไป
เรียกบริษัททำความสะอาดสอบ ... การตรวจสอบสอบสวนเกิดขึ้น บริษัทที่รับจ้างทำความสะอาดถูกเรียกตัว พนักงานทำความสะอาดทุกคนถูกเรียกสอบเครียดอย่างละเอียดหลายวัน การตรวจค้นตัว ค้นที่พักมีการกระทำโดยถี่ถ้วน คนงานทุกคนถูกกักตัวไว้สอบหลายวัน มีคนงานไทยคนหนึ่ง ที่ทำงานและพักด้วยกันกับนายเกรียงไกร คนงานไทยผู้นี้รู้ทันทีว่านายเกรียงไกร ต้องเป็นคนทำแน่ ทันทีที่ทางการซาอุฯ ปล่อยตัวคนงานนี้ออกมา คนงานนี้ก็รีบเดินทางกลับประเทศไทย แล้วตรงเข้าหานายเกรียงไกรทันที
การ Black mail เกิดขึ้น คนงานดังกล่าวถึงตัวนายเกรียงไกรก่อนทางการไทยจะได้ข่าว คนงานดังกล่าวขู่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้จับตัวนายเกรียงไกร ส่งไปดำเนินคดีที่ซาอุ ของมีค่าที่นายเกรียงไกรโจรกรรมมาถูกแบ่งให้นัก Black mail นี้ทันที นายเกรียงไกร รู้ทันทีว่าภัยจะมาถึงตัว แต่ยังใจเย็น เพราะทางการไทยยังไม่รู้ เพชรอัญมณีของมีค่า ถูกลำเลียงขายไปที่แหล่งรับซื้อที่ลำปาง ทั้งคนขายและคนรับซื้อก็ไม่เคยเห็นของมีค่าชนิดเส้นใหญ่ๆ เม็ดโตๆ มาก่อน แยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม ทำนองไก่ได้พลอย ตัวอย่าง สร้อยเพชร 1 เส้น มีเพชรหลายเม็ด น้ำหนักเพชรรวม 15 กะรัต นายเกรียงไกร ขายไปเพียง 500 บาท คนรับซื้อที่ลำปาง นำไปขายต่อที่ จ.พิษณุโลก คนรับซื้อของที่ จว.พิษณุโลก ตาถึง นำไปขายร้านเพชรแถวหัวเม็ด (เยาวราช) ได้ราคาถึง 7 ล้านบาท
น่าสงสารนายเกรียงไกรมากที่ไม่มีปัญญาดูเพชร แต่พอมีความรู้อยู่บ้างว่า เพชรมีความแข็งแกร่งกว่าโลหะใด นายเกรียงไกรจึงเอาค้อนบ้าง ก้อนหินบ้าง ทุบที่อัญมณีเม็ดไหนทุบไม่แตก ก็เชื่อว่าเป็นเพชรเก็บไปขาย พวกตัวเรือน เครื่องประดับที่เป็นโลหะ ถูกเอามาทุบรวมกันแล้วนำไปขายตามน้ำหนัก ราคาถูกๆ ได้เงินสดไป 5 ล้านบาท แบ่งนำฝากบัญชีไว้ในชื่อพ่อ ชื่อแม่ 1.3 ล้านบาท
ของมีค่าถูกลำเลียงมาทุบขายไม่ทันหมด ข่าวเรื่องการติดตามจับกุมมาถึงเมืองไทย ประกอบกับถูกเพื่อนขู่ว่า เมื่อถูกส่งดำเนินคดีที่ซาอุ ต้องถูกแขวนคอแน่ นายเกรียงไกรร่ำลาพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ขอไปตายดาบหน้า พร้อมหาซื้อไซยาไนต์ติดตัวไปด้วย ระหว่างหนีถ้าจวนตัว จะถูกจับกุม จะกินไซยาไนต์ทันที
ถึงแม้จะจวนตัว นายเกรียงไกรก็ยังเป็นห่วงทรัพย์สิน โดยรวบรวมใส่ถุงพลาสติก แล้วฝังดินโดยไม่ให้ใครรู้ ... ญาติพี่น้องเป็นห่วง แต่นายกรียงไกร บอกว่าสามารถเอาตัวรอดได้ และบอกด้วยว่าหากจำเป็นหรือเดือดร้อน จะเป็นผู้ติดต่อมาหาญาติเอง ... นายเกรียงไกรมุ่งหน้าเดินป่าไปทาง อ.แม่สอด มุ่งเข้าสู่แดนพม่า ขั้นแรกมีคนตามไปดูแลด้วย เป็นคาราวาน พอนานๆ เข้าคนที่ติดตามทนลำบาก ไม่ไหวหนีกลับหมด

ทีมล่าฝ่ายทีมล่า นำโดย พล.ต.ต.ชลอ เกิดเทศ พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร ร.ต.อ.จีรวัฒน์ แท่งทอง และลูกน้องซึ่งเป็นตำรวจกองปราบอีกหลายคน แบ่งกำลังติดตามเป็น 5 สาย ญาติพี่น้องนายเกรียงไกร ถูกเรียกมาสอบทั้งหมด ข้อมูลเกี่ยวกับนายเกรียงไกร ถูกคายหมด ไม่มีใครรู้ว่านายเกรียงไกร หลบหนีไปที่ใด แต่ที่รู้แน่ๆ คือนายเกรียงไกร ไม่ยอมให้จับเป็น ไม่ได้หมายว่าจะต่อสู้ แต่จะชิงกินยาฆ่าตัวตายก่อนถูกจับ กำลังทั้ง 5 สาย ถูกสั่งให้ออกล่าสกัดกั้นการหลบหนี ใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 เดือน ก็สามารถจับกุมผู้ร่วมมือ ช่วยจำหน่ายทรัพย์ ช่วยพาหลบหนีได้ 3 คน ถูกแจ้งข้อหาร่วมลักทรัพย์หรือรับของโจร กำลังส่วนหนึ่งติดตามหาทรัพย์สินที่นายเกรียงไกรขาย จากนายเกรียงไกรไปยังพ่อค้าทองที่ลำปาง จากลำปางไปยังพ่อค้าทองที่ จว.พิษณุโลก จากพิษณุโลกสู่ร้านค้าเพชร “สันติมณี” ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ของนายสันติ - นางดาราวดี ศรีธนขันธ์
ทีมล่าหาตัวติดตามหานายเกรียงไกร อย่างไม่ลดละ ต้องปีนเขาข้ามป่าข้ามทุ่ง แต่ไม่พบร่องรอย จึงได้วิเคราะห์แผนใหม่ ว่านายเกรียงไกร ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในป่าได้อย่างแน่นอน และจากการสืบเสาะข้อมูลทราบว่า นายเกรียงไกรชอบผู้หญิงมาก ดังนั้นการที่จะหลบอยู่ในป่า คงอยู่นานไม่ได้ ... ชุดที่ 1 เฝ้าการเคลื่อนไหวของญาติ กำลังส่วนหนึ่ง ถูกวางซุ่มดูความเคลื่อนไหวของญาติ ในช่วงเกิดเหตุนั้น ระบบการสื่อสารไม่เจริญเหมือนปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือไม่มี การติดต่อสื่อสารจะใช้จดหมายกับโทรเลข เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ในเขตพื้นที่ ต.แม่ปะ อ.เถิน ในลำปาง ถูกประสานให้ร่วมมือทันที เวลาล่วงเลยเป็นเดือน ไม่มีจดหมายติดต่อไปยังพ่อแม่ พี่น้องของนายเกรียงไกรเลย มีแต่จดหมายถึงกำนัน ประมาณ 2 ครั้ง ... ชุดสืบสวนใช้ไหวพริบ เรียกกำนันไปสอบขอดูจดหมาย ปรากฏว่าเป็นจดหมายของนายเกรียงไกร เขียนถึงพ่อแม่ ให้ส่งเงินทางธนาณัติไปให้ ระบุชื่อผู้รับเป็นผู้หญิง ที่อยู่ที่แม่สอด จ. ตาก
ผู้หญิงที่นายเกรียงไกร ให้ส่งเงินไปให้ต้องมีความเชื่อมโยงกับนายเกรียงไกร การติดตามหาตัวหญิงผู้ที่จะรับธนาณัติเริ่มต้นขึ้น ซึ่งทีมงานสืบสวนเดาไว้ก่อนแล้วว่าจะต้องเป็นหญิงขายบริการ ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบตามซ่องโสเภณี ที่แม่สอดทุกแห่ง ก็พบตัวของหญิงดังกล่าว และถูกดึงตัวมาสอบอย่างลับๆ จนรู้ที่พักของนายเกรียงไกร ว่าอยู่ที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งในแม่สอด ... การวางแผนจับกุมนายเกรียงไกร ต้องรอบคอบรัดกุม ไม่ใช่กลัวจะต่อสู้ หรือหลบหนี แต่ต้องคิดให้รอบคอบว่าทำอย่างไร จึงจะจับตัวได้เป็นๆ ป้องกันไม่ให้ดื่มยาฆ่าตัวตาย ... วางแผนเสร็จเรียบร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบนำโดย พ.ต.ท.เจษฎากร นะภีตภัทร กับพวก ให้หญิงแฟนนายเกรียงไกร นำหน้าเคาะประตูห้องพักโรงแรม ตำรวจต้องหลบตัวต่ำและอยู่ห่างๆ เพราะประตูห้องพักมีกล้องตาแมวมองจากด้านในออกมาได้ เมื่อสิ้นเสียงเคาะประตูสักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงถอดกลอนประตูดังแกร๊ก ชุดปฏิบัติงานรู้หน้าที่ เริ่มปฏิบัติการทันที คนหนึ่งร่างใหญ่กระแทกประตู ซึ่งปรากฏว่าติดโซ่ แต่ตำรวจเตรียมการณ์ไว้ก่อนแล้ว คือเพิ่มแรงกระแทกเต็มที่ หมุดที่ยึดโซ่ขาด ประตูเปิดออก ... พ.ต.ท.เจษฎากร พุ่งหลาวบกเข้าใส่ร่างคน ซึ่งมีอยู่คนเดียว จะเป็นใครไม่ได้นอกจากนายเกรียงไกร มือข้างหนึ่งของ พ.ต.ท.เจษฎากร ปิดปากนายเกรียงไกร อีกมือหนึ่ง คว้าจับแขนเกรียงไกรไว้ และเป็นจริงตามคาด ยาชนิดหนึ่งไม่ได้พิสูจน์ทราบเป็นยาอะไร อยู่ในมือขวาของนายเกรียงไกร ถูก พ.ต.ท.เจษฎากร จับไว้ได้ ตำรวจอื่นๆ มาช่วย จับกุมนายเกรียงไกร ได้สำเร็จ นายเกรียงไกรถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ในข้อหาลักทรัพย์ในเคหะสถานในเวลากลางคืน นายเกรียงไกรรับสารภาพ ศาลได้พิพากษาตัดสินจำคุก คดีถึงที่สุดและปัจจุบันพ้นโทษแล้ว

เกรียงไกรถูกแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน ระวางโทษจำคุก 1-7 ปี เขาให้การรับสารภาพศาลจึงลดโทษ และติดคุกจริงไม่ถึง 5 ปี
จากวันนั้นถึงวันนี้เกรียงไกรได้รับอิสรภาพมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่สัมพันธภาพระหว่างไทยกับซาอุฯ ถึงจุดต่ำสุด และยิ่งตอกย้ำเมื่อ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ รมว.ต่างประเทศ ไปเยือนซาอุฯ เพื่อฟื้นสัมพันธ์ แต่ต้องผิดหวังเพราะซาอุฯ กล่าวหาว่าไทยเอาเพชรปลอมไปคืนแถมคืนให้ไม่ครบ โดยเฉพาะ "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ก็ยังไม่ได้คืน ปฏิบัติการติดตาม "บลูไดมอนด์" ในไทยจึงเกิดขึ้น โดยนายโมฮัมหมัด ซาอิค โคจา อุปทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย ถึงกับว่าจ้างชุดสืบสวนพิเศษแกะรอยตามหาเพชรอย่างลับๆ ควบคู่ไปกับการทำงานของตำรวจยุคที่มี พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ เป็นอธิบดี เกรียงไกรให้การในทำนองว่าบลูไดมอนด์น่าจะอยู่ในมือของ "สันติ ศรีธนะขัณฑ์" เจ้าของร้านเพชรสันติมณี ย่านเจริญกรุง จนกลายเป็นที่มาของคดีอุ้มฆ่าสองแม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ และเป็นการปิดตำนาน 2 ตำรวจมือปราบ เจ้าของฉายาสิงห์เหนือและเสือใต้ ใครจะเชื่อว่าตำรวจไทยระดับพลตำรวจเอก จะมีคำสั่งโหดเหี้ยมถึงขั้นข่มขืนแม่ก่อนสังหารด้วยท่อนเหล็ก ทั้งแม่และลูกชายที่ตร.จับมาเป็นตัวประกัน เพื่อไถเงินจากผู้ต้องสงสัยในคดีที่แรงงานไทยไปขโมยเพชรมาจาก ซาอุดิอาระเบีย

รายละเอียดของการสมรู้ร่วมคิดของทีมตำรวจที่สุดท้ายกลับมาเกี่ยงข้องกับนายตำรวจระดับบิ๊กๆอย่างอดีตสิงห์เหนือและเสือใต้มีดังนี้... หลังจากนายเกรียงไกร เตชะโม่ง ชาว จ.ลำปาง ขโมยเพชรจากพระราชวังของกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียหนีกลับประเทศไทย และ รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก ทั้งการขอให้ส่งนายเกรียงไกรกลับไปรับโทษในประเทศซาอุฯ รวมทั้งการติดตามเพชร "บลูไดมอนด์" เพชรประจำราชวงศ์ ที่กษัตริย์ไฟซาลต้องการคืนมากที่สุด และด้วยเพชรเม็ดนี้นี่เองที่ นำมาสู่การปิดฉากชีวิตราชการของ 2 ตำรวจมือปราบชื่อดังอย่าง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ เจ้าของฉายา "สิงห์เหนือ" ขณะที่ พล.ต.ท.โสภณ สะวิคามิน เจ้าของฉายา "เสือใต้" ก็พลอยติดร่างแห ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับเรื่องดังกล่าว ต้องถูกจับกุม ดำเนินคดี แต่สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะไม่มีพยานหลักฐานเกี่ยวพันถึง ... รัฐบาลไทยถูกทางการซาอุดีอาระเบียกดดันอย่างหนัก จึงสั่งการให้ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อธิบดีกรมตำรวจใน ขณะนั้น เร่งติดตามหาเพชรซาอุฯ อย่างเร่งด่วน จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะตำรวจชุดเฉพาะกิจติดตามหาเพชรซาอุฯ โดยมี พล.ต.อ.ชาญ รัตนธรรม รองอธิบดีกรมตำรวจเป็นหัวหน้า โดยมีมือปราบพระกาฬเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ-เสือใต้ พล.ต.ท. ชลอ และ พล.ต.ท.โสภณ รวมอยู่ด้วย ... หลังจากนั้นไม่นาน พล.ต.ท.ชลอ ให้ลูกน้องพานายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชร "สันติมณี" ย่านสะพานเหล็ก ซึ่งนายเกรียงไกรระบุว่ารับซื้อเพชรที่ขโมยมาหลายรายการไปกักตัวไว้ที่คุ้มพระลอ จ.ตาก เพื่อเค้นหาเพชร "บลูไดมอนด์" ที่สงสัยว่านายสันติยังคงเก็บไว้ แต่ไม่เป็นผลและต้องรีบปล่อยตัวนายสันติออกมา เพราะนางดาราวดี ภรรยาของนายสันติ เข้าขอความช่วยเหลือจากนายอารี วงศ์อารยะ ปลัดกระทรวงมหาดไทย... จากนั้นเป็นต้นมา นายสันติถูกลูกน้องของ พล.ต.ท.ชลอ ติดตาม เพื่อหาโอกาสพาตัวไปสอบถามเรื่องเพชรอีกหลายครั้ง แต่นายสันติได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่จัดชุดมาคุ้มกัน จึงหลุดรอดไปได้ทุกครั้ง .. กระทั่งวันที่ 2 กรกฎาคม 2537 นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรของนายสันติถูกคนร้ายลักพาตัวไประหว่าง เดินทางออกจากบ้านพักในหมู่บ้านมัณฑนา ย่านตลิ่งชัน เพื่อไปหานายสันติ ที่โรงแรมรอยัล ออร์คิด ... นายสันติตามหาภรรยาและลูกอยู่ 5 วัน แต่ไม่มีความคืบหน้า แม้จะขอความช่วยเหลือไปยัง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รมว.มหาดไทยในขณะนั้นแล้วก็ตาม จึงโทรศัพท์ไปหา พล.ต.ท.ชลอ และนัดพูดคุยกันที่โรงแรมไฮแอท เซ็นทรัล ลาดพร้าว ทันทีที่พบหน้า พล.ต.ท.ชลอ ถามนายสันติว่าแจ้งความหรือยัง เมื่อทราบว่ายังไม่ได้แจ้งความก็รับอาสาจะช่วยติดตามตัวให้ โดยต้องมีค่าใช้จ่าย และยังขอหมายเลขวิทยุติดตามตัวของนายสันติไว้ เพื่อความสะดวกในการติดต่อ ... นายสันติไปขอความช่วยเหลือจากนายสุนทร ไชยอนันต์สุจริต เจ้าของโรงแรมบูรพา เพื่อนสนิท เพื่อขอยืมเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการติดตามหาภรรยา และเย็นวันที่ 8 กรกฎาคม 2537 ก็มีคนร้ายโทรศัพท์มาหานายสุนทร เพื่อให้แจ้งนายสันติ ให้นำเงินค่าไถ่จำนวน 3 ล้านบาท โดยนัดหมายให้นำเงินไปวางไว้ที่หน้าหลักกิโลเมตร บนถนนสายหนึ่งในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ในคืนวันที่ 11 กรกฎาคม 2537 แต่หลังจากนายสุนทร และนายโชติชัย เชาว์นิธิ เพื่อนสนิทอีกรายนำเงินไปวางไว้ตามที่คนร้ายต้องการแล้ว ปรากฏว่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ก็ไม่ได้รับการปล่อยตัวแต่อย่างใด ... หลังจากนั้นอีก 2 วัน พล.ต.ท.ชลอนัดหมายให้นายสันติไปพบที่โรงแรมแอร์พอร์ต และแจ้งให้นายสันติทราบว่าคนร้ายนัดให้ไปเจรจาที่ปั๊มน้ำมันโมบิล ใน อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา แต่นายสันติขอให้ พล.ต.ท.ชลอ เจรจาแทน ซึ่ง พล.ต.ท. ชลอ รับปาก ก่อนจะแยกย้ายกัน ...กระทั่งวันที่ 20 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอนัดนายสันติให้ไปพบอีกครั้งที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โดยแจ้งให้ทราบว่า คนร้ายนำตัวบุตรและภรรยานายสันติมาอยู่ในพื้นที่ อ.หินกอง จ.สระบุรี และได้เรียกเงินเพิ่มอีก 4 ล้านบาท นายสันติเจรจา ต่อรองเหลือ 1 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ รับปากจะเจรจาให้ .. ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม พล.ต.ท.ชลอเรียกนายสันติไปพบอีกครั้ง ที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค โดยกำชับไม่ให้แจ้งความ เพราะไม่เช่นนั้นบุตรและภรรยาอาจถูกฆ่าตาย และยืนยันว่าอีก 2-3 วัน นายสันติจะได้บุตรและภรรยาคืน แต่ไม่เป็นดังนั้น เมื่อ เช้าวันที่ 1 สิงหาคม 2537 มีคนพบนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี เสียชีวิตอยู่ภายในรถเบนซ์ ทะเบียน 8ฉ-3237 ซึ่งตกอยู่ข้าง ทางริมถนนมิตรภาพ พื้นที่หมู่ 2 ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี .. พนักงานสอบสวน สภ.อ.แก่งคอย ระบุถึงสาเหตุการตายของบุคคลทั้งสองว่า เกิดจากอุบัติเหตุ โดยมี ผบก.สถาบัน นิติเวชวิทยา กรมตำรวจ ยืนยันสาเหตุการตาย แต่ นพ.พรชัย สุธีรคุณ แพทย์ผู้ตรวจศพคัดค้าน และระบุสาเหตุการตายของ คนทั้งสองว่าเป็นฆาตกรรม ... ข้อกังขาดังกล่าวนำมาสู่การรื้อคดีใหม่ โดย พล.ต.อ.ประทิน ได้มอบหมายให้กองปราบปรามยุคที่มี พล.ต.ต.วรรณรัตน์ คชรักษ์ เป็นผู้บังคับการ รับผิดชอบคลี่คลายคดี กระทั่งนำมาสู่การจับกุมพล.ต.ท.ชลอ และพวก รวมทั้ง พล.ต.ท.โสภณ ด้วย
ถุงกระดาษโชคดีที่ภายในมีบิลค่าที่พัก "บังกะโลกวีวิลล่า" ใน จ.สระแก้ว เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ชุดสืบสวน กองปราบปรามแกะรอยติดตามจับกุม พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค ด.ต.สมนึก เวชศรี นายวีระชัย พลทิแสง นายนิคม มนต์ศิริ นายสำราญ แจ่มจำรัส นายสมหมาย พุดเทศ และนายสุภาพ ช่างสาย หลังจากพนักงานบังกะโล ดังกล่าวให้การว่า ทั้งหมดจับผู้ตายทั้งสองมาคุมขังไว้ภายในห้องพักของบังกะโล .. ต่อมา พ.ต.ท.พันศักดิ์รับสารภาพว่า ได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.ชลอ ให้จับตัวนางดาราวดีและ ด.ช.เสรี ไปกักตัวไว้ เพื่อบีบให้นายสันติให้ความร่วมมือในการติดตามเพชรซาอุฯ แต่นายสันติไปร้องเรียนผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จึงต้องจัดฉากเป็นการ ลักพาตัวเรียกค่าไถ่ และเกรงว่า หากปล่อยตัวทั้งสองไปความลับจะแตก จึงจำเป็นต้องฆ่าทิ้ง โดย ด.ต.สมคิด เป็นผู้ใช้ท่อน เหล็กตีทั้งสองจนเสียชีวิต แล้วนำศพไปใส่ไว้ในรถเบนซ์ของผู้ตาย ก่อนจะจัดฉากให้เป็นอุบัติเหตุ... ต่อมาพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้จับกุม พล.ต.ท.โสภณ เนื่องจากสงสัยว่ามีส่วนพัวพันกับเรื่องดังกล่าว เพราะ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ได้ชื่อว่าเป็นคนสนิทของมือปราบเจ้าของฉายาเสือใต้ผู้นี้ แต่เมื่อเรื่องถึงชั้นศาลก็ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่า พล.ต.ท.โสภณ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ศาลจึงสั่งยกฟ้อง ... ขณะที่ พล.ต.ท.ชลอ ดิ้นไม่หลุด เพราะมีพยานหลักฐานมัดตัวอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะรายงานการใช้โทรศัพท์ของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่มีการติดต่อ พล.ต.ท.ชลอ ขณะเกิดเหตุหลายครั้ง รวมทั้งคำสารภาพของ พ.ต.ท.พันศักดิ์ ที่ให้การซัดทอด ว่า พล.ต.ท.ชลอ เป็นผู้สั่งการ
หลังจากนั้น พล.ต.ท.ชลอ ถูกจับกุมดำเนินคดี ปิดฉากชีวิตนายตำรวจมือปราบเจ้าของฉายาสิงห์เหนือ โดยศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต ซึ่ง พล.ต.ท.ชลอ ได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลได้พิพากษาไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2549 โดยเปลี่ยน คำพิพากษาเป็นประหารชีวิต ขณะนี้ พล.ต.ท.ชลออยู่ระหว่างการยื่นฎีกา และถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำคลองเปรม

อนึ่งความพยายามในการรื้อฟื้นคดีเพชรซาอุขึ้นมาอีกครั้งนี้ทำให้เกิดการพบปะกันระหว่าง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เมื่อครั้งยังดำรงตำแหน่ง รมว ยุติธรรม กับ พล ต ท ชลอ เกิดเทศ ในคุกคลองเปรม..ความเอาใจใส่อย่างจริงจังที่จะรื้อฟื้นคดีนี้ถึงกับทำให้ พล ต ท ชลอถึงขั้นน้ำตาคลอหลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ'' ตามข่าวด้านล่างนี้:-

สมพงษ์' บุกคุกคลองเปรมพบ 'ป๋าชลอ' ขอข้อมูลคดีซาอุฯ ขอปิดข้อมูลเป็นความลับหวั่นผู้เกี่ยวข้องทำลายหลักฐาน พล.ต.ท.ชลอ ตื้นตันน้ำตาคลอรมว.มาขอบคุณ เผยยอมทำเพื่อชาติ ให้ข้อมูลหมดเปลือกเพราะเชื่อใจรมว.ยุติธรรม ไม่หวังได้ลดโทษเมื่อเวลา 09.15 น. วันที่ 3 เมษายน ที่เรือนจำกลางคลองเปรม นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผบ.สำนักกิจการต่างประเทศและสำนักคดีระหว่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนชุดคลี่คลายคดีการหายตัวของนายอัลลู ไวรี นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย เข้าพบพล.ต.อ.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำ กรมตำรวจ อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีการหายตัวของนักธุรกิจชาวซาอุฯ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอ จำเลยในคดีฆ่า 2 แม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์ และคดียักยอกของกลางคดีเพชรซาอุฯ ออกจากแดน 4 ซึ่งเป็นแดนควบคุมตัวนักโทษสูงอายุออกมายังห้องผู้อำนวยการส่วนควบคุม เพื่อพูดคุยกับคณะของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรมได้นำตัวพล.ต.ท.ชลอออกมาจากแดนควมคุมเพื่อ มารอพบนายสมพงษ์ยังห้องผอ.ส่วนคุมคุมผู้ต้องขัง โดยพล.ต.ท.ใส่เสื้อยืดสีขาว กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้า พร้อมใส่หมวกแก๊ปสีขาว โดยมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส่ เมื่อนายสมพงษ์เดินเข้าไปพบได้ยกมือไหว้พร้อมกับทักทายกันอย่างสนิทสนม ระหว่างนั้นแววตาของพล.ต.ท.ชลอ เป็นสีแดงมีน้ำตาคลอ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวแยกไปในห้องต่างหากเพื่อสอบสวนและพูดคุยเป็นการส่วนตัวภายหลังการพูดคุยกับพล.ต.ท.ชลอ ประมาณ 20 นาที นายสมพงษ์ให้สัมภาษณ์ว่า ตนไม่ได้ร่วมเป็นพนักงานสอบสวนคดีในความรับผิดชอบของดีเอสไอ แต่ต้องการเข้าพบพล.ต.ท.ชลอเพื่อขอบคุณในน้ำใจ ที่ช่วยให้ข้อมูลเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนคดีเกี่ยวกับประเทศซาอุฯหลายคดี นอกจากนี้ ตนและพล.ต.ท.ชลอสนิทสนมกันดีเพราะพล.ต.อ.สวัสดิ์ พี่ชายของตนเป็นรุ่นพี่ของพล.ต.ท.ชลอ จึงเคยพบปะกันมาตลอด ทั้งนี้การแก้ปัญหาความสัมพันธ์ไทย-ซาอุฯมีมาหลายรัฐบาล ตนจึงอยากทำให้เห็นถึงความจริงใจของฝ่ายไทยในการแก้ไขปัญหาคดีซาอุฯที่ยืด เยื้อมากว่า 18 ปี คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกระยะในการหาหลักฐานใหม่เพิ่มเติม เพื่อส่งให้อัยการพิจารณาสำนวน จากนั้นจะเจรจาให้ซาอุฯเห็นถึงความจริงใจของเรา และจะดูจิตใจของเขาว่า จะฟื้นความสัมพันธ์ด้านการค้ากับเราอย่างไร “รายละเอียดที่เป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งได้รับจากพล.ต.ท.ชลอถือเป็นรายละเอียดในสำนวนคดี ผมยังเปิดเผยไม่ได้ เพราะผู้ที่เกี่ยวข้องอาจเข้าไปทำลายหลักฐาน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการดำเนินคดี”นายสมพงษ์กล่าวผู้สื่อข่าวถามว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ระดับใด นายสมพงษ์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับความสำเร็จของคดี จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ได้ระดับใด เร็วๆนี้ตนจะนัดหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯ และจะรับประทานข้าวหมกไก่ร่วมกันก่อนหน้านี้เคยหารือไม่เป็นทางการกับอุปทูตซาอุฯมาแล้ว ทางซาอุฯระบุชัดหรือไม่ว่าต้องการให้ฝ่ายไทยดำเนินการอย่างไร นายสมพงษ์ กล่าวว่า ซาอุฯไม่เคยบอกว่าเราต้องทำอะไร เพียงแต่สอบถามถึงความคืบหน้าในแต่ละคดีตนก็เข้าใจดีเพราะนักธุรกิจที่หายไป มีภรรยาเป็นพระญาติของกษัตริย์ซาอุฯ ทำให้กษัตริย์ซาอุฯเองก็ถูกทวงถามถึงความคืบหน้าของคดีอยู่เช่นกัน ซึ่งประเด็นการหายตัวไปของคนในครอบครัวมีประเด็นทางศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้นการทำคดีของฝ่ายไทยจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องแจ้งรายละเอียดให้เข้ารับรู้พล.ต.ท.ชลอ ให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมเป็นพยานให้ข้อมูลเพื่อคลี่คลาย 2 คดี เนื่องจากมความมั่นใจในรัฐบาลชุดนี้ และผูกพันมานานกับครอบครัวของนายสมพงษ์ ซึ่งเป็นน้องชายของพล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ยืนยันไม่มีข้อแลกเปลี่ยนหรือข้อเรียกร้องในการลดโทษ เพียงแต่ต้องการช่วยชาติให้ 2 คดีได้ข้อยุติ และหลักฐานก็คาดว่าน่าจะเป็นหลักฐานใหม่พล.ต.ท.ชลอ กล่าวถึงความเป็นอยู่ในเรือนจำว่า วันนี้เป็นครั้งแรกหลังจากติดคุกมา 14 ปี ทำให้ตนรู้สึกเหมือนบรรยากาศเก่าๆ สำหรับตนใช้ชีวิตเหมือนนักโทษรายอื่น ไม่ได้อยู่ห้องแอร์ มีแต่แอร์กี่ และไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆ ดวงจันทร์หน้าตาเป็นอย่างไรยังนึกภาพไม่ได้ เพราะต้องเข้าเรือนนอนตั้งแต่บ่าย ออกมาอีกครั้งก็เช้าแล้ว ตอนนี้ย้ายมาอยู่แดนชราเพราะอายุมาก ได้รับผ่อนผันให้ไม่ต้องทำงาน แต่มีโรคประจำตัวเรื่องข้อเข่าเสื่อม โรคหัวใจ และความดันสูง สภาพความเป็นอยู่ในเรือนจำสบายดีตามอัตภาพ อยู่ร่วมเรือนนอนกับลูกน้องอดีตตำรวจที่ต้องโทษคุมขังอีก 2 คน หากมีโอกาสออกจากคุก จะไปทำไร่ยางพาราที่อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งตนซื้อที่ดินไว้กว่า 500 ไร่ จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชการ ตำรวจ หรือการเมืองอีก ยืนยันว่าตนไม่มีอภิสิทธิ์ในเรือนจำ สำหรับนักโทษซึ่งเคยตนถูกจับกุมตัวดำเนินคดีและถูกคุมขังในเรือนจำ ก็ได้อโหสิกันไปแล้ว“สำหรับคุ้มพระลอที่จ.ตาก ไม่เกี่ยวข้องกับวงการตำรวจ ตนได้โอนให้ลูกไปแล้ว โดยลูกของตนไม่อยู่ในวงการตำรวจหรือราชการ เป็นผู้รับเหมา ไม่มีอิทธิพลใดๆอีกแล้ว ที่ผ่านมามีข่าวว่า คนเห็นผมออกไปนั่งไนบาร์ ภรรยานั่งรถแท็กซี่มาด่าถึงในเรือนจำ นึกว่าหนีไปเที่ยว ”พล.ต.ท.ชลอกล่าว พล.ต.ท.ชลอ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของรายละเอียดในคดีความนั้น ได้ให้ข้อมูลกับดีเอสไอไปหมดแล้ว ที่ผ่านมาตนไม่แน่ใจในความจริงใจของรัฐบาล จึงไม่กล้าให้ข้อมูล ที่ผ่านมาไม่ใรให้เข้ามาถามพบ แต่เคยมีตำรวจเข้ามาถาม แต่ถามแล้วก็ไม่มีผลอะไร แต่ตนคิดว่ารัฐบาลนี้นายสมพงษ์มีความจริงใจและกระตือรือร้นมาก และเป็นครั้งแรกที่รัฐมนตรีว่าการยุติธรรมคนแรกที่เข้ามาเยี่ยมถึงในคุก ส่วนเรื่องความปลอดภัยในเรือนจำนั้น คงไม่มีอะไรต้องห่วง ตอนนี้ตนก็เหมือนคนตายแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว อีกทั้งกรมราชทัณฑ์ให้การดูแลเป็นอย่างดีผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีฆ่านักการทูตซาอุ 4 ราย และคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2531-2533 โดยดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษสมัยที่นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จากนั้นมีความพยายามจะรื้อฟื้นคดีอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ ซึ่งคดีฆ่านักการทูตศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง ส่วนคดีการหายตัวของนักธุรกิจซาอุฯซึ่งเกี่ยวพันกับเจ้าหน้าที่ของฝ่ายไทย นั้น อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดี ทำให้การรื้อฟื้นคดีจะทำได้ต่อเมื่อมีหลักฐานใหม่
(หนังสือพิมพ์ มติชน 2008)

และจากบทความที่กล่าวถึงเกรียงไกร เตชะโม่ง ในหนังสือพิมพ์คมชัดลึกวันที่ 26 กันยายน 2551 (สยามมีเดีย 2008) ทำให้เราได้ค้นพบว่าความคืบหน้าล่าสุด "ชีวิตหลังพ้นโทษ" ของเกรียงไกร ก็ไม่แตกต่างจากอดีตนักโทษคนอื่นๆ เลย .. เขาไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของสังคม และขาดความมั่นใจในการเผชิญชีวิตนอกห้องขัง หลังพ้นโทษไม่นานเกรียงไกรเปลี่ยนไปใช้นามสกุลอื่น อาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ ใน อ.เถิน จ.ลำปาง กับภรรยา ส่วนลูกชายเข้ามาขายแรงงานใน กทม.นานๆ จึงกลับไปเยี่ยมสักครั้ง สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและปฏิเสธที่จะรื้อฟื้นความทรงจำหนหลัง

"ณรงค์ อินต๊ะพันธ์" นายก อบต.แม่ปะ ซึ่งคุ้นเคยกับเกรียงไกรดีบอกกับ "คม ชัด ลึก" ว่าแม้จะพ้นโทษมานานแล้ว แต่เกรียงไกรยังคงเก็บตัวอยู่เฉพาะภายในบ้านพัก ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ทุกครั้งที่หมู่บ้านมีงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทุกวันนี้เกรียงไกรมีรถกระบะเก่าๆ อยู่ 1 คัน วิ่งรับจ้างขนทรายไปส่งตามสถานที่ก่อสร้าง นอกจากทำนาในที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ประมาณ 10 ไร่ ฐานะพอกินพอใช้ หาเช้ากินค่ำ ไม่แตกต่างจากชาวบ้านแม่ปะหลวงรายอื่นๆ "เขาไม่สนทนากับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะกับนักข่าวหากพบหน้าจะเดินหนีทันที เคยถามเขาเหมือนกันว่าหนีหน้าคนอื่นทำไม เขาบอกว่าไม่อยากคุยด้วยเพราะนักข่าวชอบถามแต่เรื่องเดิมๆ ที่ตัวเขาอยากลืม"

Reference:
หนังสือพิมพ์มติชน 2008,'ป๋าลอ' น้ำตาคลอ หลังรมว.ยุติธรรมเอ่ย 'ขอบคุณ', accessed 1/11/2008, from

สำนักข่าวไทย 2008, นพดล เตรียมฟื้นคดีเพชรซาอุฯ หวังยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูต, accessed 1/11/2008, from

เสรีไทย 2008, เพขรซาอุฯ เพขรสีน้ำเงิน เพชรที่ต้องคำสาปแช่ง , accessed 1/11/2008, from

สยามมีเดีย 2008, ที่นี่ตำรวจไทย: ตอน เพชรซาอุ, accessed 1/11/2008, from
http://www.siammedia.org/news/thailand/20080926_04.php
อาทรผไท, อ 2008, โจรกรรมเพชรซาอุ , accessed 1/11/2008, from
http://www.angkul007.com/Blog/?p=27

1 ความคิดเห็น:

Nanjung กล่าวว่า...

คดีนี้มันนานมากเลยคะ
ตอนนั้นยังเด็กมาก
จำได้ว่ายังอยู่อนุบาลอยู่เย้ย
แต่ก็พอจำได้ว่าเป็นข่าวใหญ่โต
ได้มาอ่าน
จึงรู้ว่ามันเป็นเรื่องระดับประเทศขนาดนี้
ได้ความรู้เพิ่มขึ้น
เพราะเคยรู้แค่ว่ามีคดีเพชรซาอุ
แต่ไม่ทราบว่าที่มามันเป็นยังไง